การวิเคราะห์บริบทกับการท้าทายการบริหารการศึกษาในอนาคต
บริบททางการศึกษา เป็นสิ่งที่อยู่รอบๆ หรือ สิ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบต่อการศึกษา เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ
การวิเคราะห์บริบททางการศึกษามีส่วนสำคัญยิ่งต่อการจัดการศึกษาได้อย่างถูกต้องตรงกับความต้องการ ซึ่งการวิเคราะห์บริบทมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ประเภทของบริบททางการศึกษา มี 2 ประเภทดังนี้
1.1 บริบทที่เป็นความสัมพันธ์ภายในระบบการศึกษา ซึ่งเป็นพื้นฐานการศึกษา (Foundations of Education) ได้แก่ ครู ผู้อำนวยการสถานศึกษา อาคารเรียน งบประมาณสถานศึกษา อุปกรณ์?การศึกษา เป็นต้น
1.2 บริบทที่เป็นผลกระทบจากภายนอก ได้แก่ วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม ประชากรศาสตร์ ความมั่นคงของชาติ เป็นต้น
2. ความหมายของการวิเคราะห์บริบททางการศึกษา
การวิเคราะห์บริบทสถานศึกษา หมายถึง การจำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ ที่อยู่โดยรอบสถานศึกษาทั้งภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษา เช่น นักเรียน บุคลากรสถานศึกษา ชุมชน ผู้ปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีฯลฯ
3. กรอบแนวคิดในการวิเคราะห์บริบทของสถานศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการกำหนดเป้าหมายของสถานศึกษาในอนาคตและนำมาจัดทำยุทธศาสตร์สถานศึกษาเพื่อการบริหารงานไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ้งการกำหนดยุทธศาสตร์นั้นผู้บริหารจะสามารถวิเคราะห์บริบทสถานศึกษาเพื่อให้ทราบถึงสถานภาพปัจจุบันของสถานศึกษา โดยใช้แนวคิดในการดำเนินการ 3 ประการ คือ แนวคิดการวินิจฉัยองค์การ (Organizational Diagnosis) แนวคิดและแนวปฏิบัติจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) และแนวคิดของการคิดวิเคราะห์เชิงระบบ (Systems Thinking)
3.1 การวินิจฉัยองค์การ คือ กระบวนการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับองค์การ เพื่อทำความเข้าใจสภาพองค์การในปัจจุบันว่ามีความแตกต่างจากสภาพองค์การที่ต้องการจะเป็นในอนาคตอย่างไร
เครื่องมือการวินิจฉัยองค์การ (Organizational Diagnosis Tool) ที่นิยมสูงสุดคือ เครื่องมือในการวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) จุดอ่อน (Weaknesses) โอกาส (Opportunities) และ ภัยอุปสรรค (Threats) ขององค์การ หรือ SWOT Analysis
3.1.1 กระบวนการและเครื่องมือการวินิจฉัยองค์การ
การวินิจฉัยองค์การเป็นกระบวนการทำความเข้าใจการทำงานของระบบงานต่างๆ ภายในองค์การ โดยการเก็บ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์การ
3.1.2 SWOT Analysis (การวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งขององค์การ
SWOT Analysis เป็นการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งขององค์การ SWOT Analysis มาจากตัวย่อของคำ 4 คำ คือ (1) S-Strengths หรือ จุดแข็ง (2) W – Weaknesses หรือ จุดอ่อน (3) O – Opportunities หรือ โอกาส (4) T – Threats ภาวะคุกคาม
SWOT Analysis เป็นการมอง 4 เรื่อง ดังนี้
S : Strengths เป็นจุดแข็งด้านทรัพยากรที่มีศักยภาพและความสามารถทางการแข่งขัน เช่น ทักษะในการจัดการเรียนการสอน ความเชี่ยวชาญในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา โครงสร้างการบริหารสถานศึกษา ภาพลักษณ์หรือชื่อเสียงของสถานศึกษา เทคโนโลยีและความสามารถในการให้บริการทางการศึกษาแก่นักเรียนและชุมชน
W : Weaknesses เป็นจุดอ่อนด้านทรัพยากรที่มีศักยภาพ และความเสียเปรียบทางการแข่งขัน เช่น ทิศทางยุทธศาสตร์ของสถานศึกษาที่ไม่ชัดเจน ปัญหาทางด้านงบประมาณ บุคลากรขาดทักษะและความชำนาญ คุณภาพการให้บริการทางการศึกษาต่ำ ขาดเทคโนโลยีสนับสนุน มีปัญหาการดำเนินงานภายใน การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสถานศึกษาบ่อย
O : Opportunities เป็นโอกาสของสถานศึกษาที่มีศักยภาพจากบริบทภายนอกที่เอื้ออำนวย ประกอบไปด้วยนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนการจัดการศึกษา การมีหน่วยงานภายนอกที่สามารถสนับสนุนการจัดการศึกษาของสถานศึกษา สถานที่ตั้งของสถานศึกษาที่มีความสะดวกสบายในการติดต่อ ความสามารถในการระดมทุนจากชุมชนและหน่วยงานภายนอก
T : Theats อุปสรรคภายนกที่ทำให้สถานศึกษาต้องปรับตัว ประกอบไปด้วย การมีโรงเรียนใหม่เกิดขึ้น และเป็นคู่แข่งขันใหม่ที่มีศักยภาพ อุปสรรคจากการเปิดโรงเรียนกวดวิชา ซึ่งทำให้นักเรียนให้ความสนใจกับการเรียนในโรงเรียนลดลง อัตราการเกิดลดลงทำให้จำนวนเด็กในวัยเรียนน้อยลง ความต้องการด้านคุณภาพการศึกษาที่มากขึ้นของนักเรียน และผู้ปกครอง ข้อกำหนด ระเบียบหรือกฎหมายต่างๆ ที่ทำให้การบริหารสถานศึกษาเกิดความล่าช้า
การจัดทำ SWOT Analysis ให้มีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์บริบทภายนอกใช้หลักการวิเคราะห์ที่เรียกว่า C-PEST ส่วนการวิเคราะห์ภายในใช้หลัก 7 Ss (McKinsey) ประกอบการวิเคราะห์ เพื่อให้ครอบคลุมทุกเรื่องที่ควรพิจารณาในการจัดทำยุทธศาสตร์
การวิเคราะห์บริบทภายนอกด้วย C-PEST
C-PEST ใช้วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ มี 5 ประเด็นที่ควรพิจารณา และหาข้อที่เป็นโอกาส (O-Opportunity) และภาวะคุกคาม (T-Threat) มาประกอบการพิจารณาก่อนจัดทำยุทธศาสตร์
C – Customer , Competitors
ลูกค้า หรือผู้รับบริการ (Customer) คู่แข่ง (Competitors) เป็นอย่างไร ซึ่งในที่นี้หมายถึง นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชนที่อยู่โดยรอบสถานศึกษา
P – Politics
สถานการณ์ทางการเมือง (Politics) นโยบายต่างๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯ
E – Environment, Economics
สภาพแวดล้อม (Environment) หรือสภาพเศรษฐกิจ (Economics) ของชุมชนที่อยู่โดยรอบสถานศึกษา
S- Society
สภาพสังคม (Society) วัฒนธรรม (Culture) ค่านิยม (Value) ของประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบสถานศึกษาเป็นอย่างไร
T – Technology
เทคโนโลยี (Technology) ระบบสารสนเทศ (Information Technology) เทคโนโลยีทางการบริหาร (Management Technology) การศึกษาใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น
การวิเคราะห์สภาพภายในองค์การด้วย 7 Ss
ตามแนวคิดของ McKinsey 7-S Framework ใช้วิเคราะห์สภาพภายในองค์การโดยทั้ง 7 ประเด็นนี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่เป็นรูปธรรม ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ (Strategy ) โครงสร้าง (Structure) และระบบ(Systems) ซึ่งพิจารณาได้จากวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ โครงสร้างองค์การ ระบบงานต่างๆ เป็นต้น
2. ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่เป็นรูปธรรมน้อยกว่า ประกอบด้วย ทักษะ (Skill) ค่านิยมร่วม (Shared Value) บุคลากร (Staffs) รูปแบบการบริหารจัดการ (Style) ซึ่งทั้ง 7 ประเด็นนี้ องค์การ โดยใช้ข้อมูลและหลักฐานประกอบการพิจารณาก่อนจัดทำยุทธศาสตร์
S - Strategy ยุทธศาสตร์และขอบเขตที่องค์การจะดำเนินไปในระยะยาวนั้นเป็นอย่างไร
S – Structure โครงสร้างองค์การ เป็นโครงสร้างที่ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงาน
S – Systems ระบบงานที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการในการดำเนินงานขององค์การ
S – Skills ทักษะ ความสามารถหรือปัจจุบันในระบบราชการใช้คำว่า สมรรถนะ (Competency) ขององค์การเป็นอย่างไร
S – Shared values ค่านิยมร่วม คือสิ่งที่บุคลากรส่วนใหญ่ในองค์การเห็นว่าเป็นสิ่งดี พึงปฏิบัติจนกลายเป็นวัฒนธรรมใน การทำงาน ทำให้เกิดปทัสถาน (Norm) ขององค์การ
S – Staff บุคลากรในองค์การเป็นอย่างไร มีจำนวนเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการหรือไม่ และมีบุคลากรที่จะตอบสนองการเติบโตขององค์การในอนาคตหรือไม่
S – Style รูปแบบของการบริหารจัดการองค์การ ของผู้บริหารเป็นอย่างไร ภาวะผู้นำของผู้บริหารมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์การ
3.2 การคิดวิเคราะห์เชิงระบบ
การคิดวิเคราะห์เชิงระบบ เป็นการคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มองในภาพรวมที่เป็นระบบ และมีส่วนประกอบย่อยๆ
หลักการของการคิดวิเคราะห์เชิงระบบ มีดังนี้
ก. การคิดใน “ภาพใหญ่” (Big Picture)
ข. สร้างสมดุลมุมมองในระยะสั้นและระยะยาว
ค. การคำนึงถึงธรรมชาติของระบบที่เป็นพลวัตซับซ้อน และพึ่งพาอาศัยกัน
ง. สามารถอธิบายทั้งตัวแปรที่วัดได้และวัดไม่ได้
จ. เราเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ซึ่งเรามีหน้าที่อยู่ภายใน และเราแต่ละคนมีอิทธิพลต่อระบบเหล่านั้นๆ เท่าๆ กับที่เราได้รับอิทธิพลจากระบบ
3.3 การใช้แนวคิดและแนวปฏิบัติจิตตปัญญาศึกษา ( Contemplative Education)
เป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติ โดยภาพรวมจิตตปัญญาศึกษาเป็นการศึกษาที่เน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาความตระหนักรู้ การเรียนรู้และการรู้เท่าทัน มิติ/โลกด้านใน(อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความเชื่อ ทัศนะ/มุมมองต่อชีวิตและโลก) ของตนเอง ให้คุณค่าในเรื่องการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ จิตตปัญาศึกษาเน้นประสบการณ์ตรงภายใน ให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้โลกภายในของตนเองที่สัมพันธ์กับโลกภายนอก กระบวนการเรียนการสอนและการประเมินแบบจิตตปัญญาศึกษาจะอยู่บนฐานของการเป็นกัลยาณมิตร จิตตปัญญาศึกษาให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ภายใน (Tacit Knowledge) ของแต่ละคน เงื่อนไข เป็นบรรยากาศแบบเปิด เอื้อให้ผู้เรียนรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่จะเปิดเผยและรู้จักตนเอง (Self Disclosure) และผู้อื่น
...................................
อ้างอิง
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.(2553). การวิเคราะห์บริบท: ความท้าทาย
ของการบริหารการศึกษาในอนาคต. กรุงเทพฯ : กพร.
ไม่มีความเห็น