Colors of life...จากสามเหลี่ยมทองคำถึงด่านท่าขี้เหล็ก


 

 

ทิวทัศน์สองข้างทางสลับสับหว่างเปลี่ยนฉากกันระหว่างท้องทุ่งดอกไม้ป่าสีน้ำตาลอ่อน กับผืนพรมตอซังข้าวสีน้ำตาลแก่ สีสันเหล่านี้ย้อมสองข้างทางให้เป็นสีเอริ์ทโทน  …ฤดูกาลของเมืองไทยให้งามนัก

สามเหลี่ยมทองคำ..สถานที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างคนสามสัญชาติ อาจน้อยไปหากทำให้เชื่อว่ามีเพียงสามสัญชาติอันถูกต้องตามกฎหมาย ฉันมองเห็นมากกว่านั้น สีสันของภาษาพูดเป็นการพังทลายความเชื่อเช่นนั้นลงได้

 

แม่น้ำโขงไหลมารวมกัน อ้อ..สายน้ำนั่นเองที่นำความแตกต่างมาหลอมรวม ผู้คนคึกคักกับการจับจ่าย ฉันว่าเสน่ห์ของสามเหลี่ยมทองคำหาใช่การได้ออกมาใช้จ่าย หากแต่มันอยู่ในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ฉันมองผ่านสายตาของนักท่องเที่ยวซึ่งสามารถนำภาพที่ได้พบเห็นมาเป็นการสะสมเข็มไมล์ประสบการณ์

การเดินทางมิได้สิ้นสุดลงเพียงเส้นกั้นแบ่งพรมแดน สถานที่ต่อไปยิ่งเรียกร้องให้คณะทัวร์ล้วงควักกระเป๋าออกมาสำรวจ ฉันตกหลุมรักสองข้างทางเกินกว่าจะมีเวลาสำรวจสถานะทางการเงินของตนเอง..ดอกหญ้าปลิวไสวล้อลม..อกใจของฉันเต้นระบำอยู่ด้านใน

รถของเราหลงทางวนเวียนอยู่ในเขาวงกตที่งามด้วยทัศนียภาพสองข้างทาง ความงามของสองฝากถนนทำให้หลายคนลืมความหงุดหงิด และอุทาน “ดีจัง..จะได้ดูวิวซ้ำๆ อีกรอบ” ฝุ่นฟุ้งกำจายรายรอบทำเอาต้นไม้กลายร่างเป็นสีน้ำตาลแดง..นี่เมืองไทยเราใช่ไหม

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมาย..นักช้อปทั้งหลายกระวีกระวาดดิ่งนำเข้าสู่ด่านท่าขี้เหล็กโดยมิรั้งรอ..ฉันเดินเอื่อยๆ มองสีสันสดใสของชีวิตผู้คนอย่างสำราญใจ

 

ท่าขี้เหล็กพลุกพล่านไปด้วยผู้คน รถทัวร์จอดเรียงตามรายทาง สองฝากถนนตั้งร้านขายของนานา ที่เด่นสะดุดตาน่าจะเป็นอาหาร..สีสันของผลไม้เมืองหนาวก็เหนี่ยวใจได้ไม่แพ้ดอกไม้เช่นกัน

ผู้คนที่ทาแป้งข้างแก้มลายพร้อย พยายามส่งภาษาไทยกระท่อนกระแท่นเรียกลูกค้า เราได้รับคำเตือนมานักต่อนักถึงทีท่าในการเดินเที่ยวระหว่างตลาดพรมแดนนี้ ฉันพยายามทำหน้าให้ดูเหมือนคนท้องถิ่นตามคำแนะนำ ได้ผลแฮะ..!!!

 

ความเป็นอยู่ผู้คนสะท้อนออกจากกริยาท่าทาง การดำรงชีวิต ทุกครั้งที่มีโอกาสเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นขอบของชายแดน ชีวิตของผู้คนอันเหลื่อมล้ำมักสะท้อนออกมาให้เห็นเสมอ ฉันกำลังตั้งคำถามถามตนเอง..ชินชาแล้วใช่ไหม???

 

เพื่อนร่วมทางชวนฉันออกจากเส้นทางของนักช้อป..จึงมีโอกาสพิศชมชีวิตของผู้คนริมพรมแดน สายน้ำกกไหลรินเซาะตลิ่ง เสียงเพลงของร้านขายของปลอดภาษีเป็นซาวว์ประกอบ

 

“คนที่นี่มีหลายเผ่า ไม่ใช่พม่าทั้งหมดหรอก” เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ยินยอมให้เรานั่งชมทิวทัศน์ข้างสายน้ำกกบอกเล่าแก่เรา นั่นทำให้ฉันมีโอกาสได้ชิมอาหารพื้นบ้าน “ข้าวงาจี่” อย่างประทับใจ

“อาหารของไทใหญ่ หรือไทลื้อ มีกินเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่งาออก” ขนมพื้นบ้านชิ้นนั้นจูงใจให้ฉันเดินตามหาที่มา การตั้งคำถามทำให้เกิดการเรียนรู้แหวกแนวไปกว่าเคยได้เห็น... บทสนทนาระหว่างแม่ค้าขายข้าวงาจี่ ทำให้ฉันเห็นความเป็นอยู่ของคนภาคเหนือ อาหารที่ทำง่ายๆ กับพืชพันธุ์ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลทำให้ชีวิตของคนพื้นถิ่นดูเรียบง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนคนเมือง..ข้าวงาจี่อุ่นๆ ในยามเย็นทำเอาคนแปลกถิ่นอิ่มตื้อไปถึงมื้อเย็นในร้านอาหารหรูท่ามกลางเครื่องปรับอากาศครางกระหึ่ม

แสงยามเย็นระริกระรี้อยู่ตรงหน้าขณะฉันจำใจบอกลาเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวใจดี สายน้ำกกรินไลเอื่อยๆ ไปมิหยุด ธงชาติของไทยกับพม่าโบกสะบัดลม ชีวิตของผู้คนของเมืองพรมแดนยังคงดำเนินต่อไป แม้กระทั่งรถทัวร์หลายต่อหลายคันได้กระชากตัวออกไปแล้ว ผู้คนบนท้องถนนก็ยังคงเดินกันขวักไขว่มลังเมลืองอยู่เช่นเดิม
 
 
 

 

หมายเลขบันทึก: 416241เขียนเมื่อ 24 ธันวาคม 2010 13:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:45 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท