ที่โถงบันไดในหอสมุดเก่าของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (ปัจจุบันเป็นอาคารคอมพิวเตอร์) มีป้ายเล็กๆ ติดให้อ่านแผ่นหนึ่งมีข้อความสั้นๆสองภาษาซ้อนกันว่า มารบ่มี บารมีบ่กล้า กับ No problem, no progress. ผมอ่านแล้วชอบและจำไว้ใช้กับตัวเองเรื่อยมา เช่นเดียวกับอีกประโยคหนึ่งที่ได้มาก่อนนั้นหลายปี คือ Let it be a challenge.
ผมได้ประโยคนี้จากพ็อคเก็ตบุคเล่มเล็กๆซึ่งชาวอเมริกันคนหนึ่งยกให้พร้อมกับหนังสือเก่าเล่มอื่นๆ ของเขาอีกหลายเล่ม หนังสือเล่มที่ว่านี้ชื่อ Up the Down Staircase เขียนโดย Bel Kaufman เป็นเรื่องของครูใหม่ที่เผชิญปัญหาสารพัด ทั้งกับนักเรียนและกับกฏกติกาของโรงเรียนซึ่งทำให้ครูแทบไม่ได้พบปะเสวนากันเลย การสื่อสารระหว่างครูด้วยกันส่วนมากจึงอาศัยจดหมายที่เอาไปหย่อนใส่ตู้ประจำตัวของแต่ละคน ครูใหม่อาศัยตู้นี้สื่อสารกับครูเก่าคนหนึ่งเป็นประจำหลังจากรู้จักกันในที่ประชุมและครูเก่าแสดงไมตรีจิตอันดีต่อเธอ ครูเก่าผู้นี้เป็นเสมือนที่ปรึกษาที่ช่วยตอบปัญหา ให้ข้อคิด และกำลังใจอย่างสม่ำเสมอ จดหมายตอบจากเธอมักลงท้ายว่า Let it be a challenge (จงถือว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทาย)
ชื่อหนังสือเองถึงแม้จะใช้คำเล็กๆ ง่ายๆ แต่ก็มีความหมายเกินตัว เพราะการเดินย้อนศรขึ้นบันไดเลื่อนขาลงนั้น นอกจากหมายถึงการฝ่าฝืนกฎกติกาต่างๆ (ตามธรรมชาติของเด็กซนทั้งหลาย) แล้ว ยังหมายถึงการฟันฝ่าอุปสรรคที่ดาหน้าถาโถมเข้าใส่ ทำให้ต้องออกแรงและเพิ่มความเร็วมากกว่าปกติเพื่อให้ขึ้นไปจนถึงหัวบันไดให้ได้
เรื่องนี้ทำท่าว่าจะอ่านยากและชวนเครียดเอามากๆ แต่พออ่านเข้าจริงๆ กลับอ่านสนุก เพราะมีมุขตลกแปลกๆ เกินความคาดหมายตลอดเรื่อง ทำให้อ่านไปยิ้มหรือหัวเราะไป
ผมใช้ประโยคนี้เป็นเสมือนคาถาบทหนึ่งเวลาเผชิญกับปัญหาต่างๆ และได้ใช้อย่างที่ครูเก่าใช้กับครูใหม่ในหนังสือด้วย คือ ใช้ในจดหมายตอบกลับถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพซึ่งถามถึงปัญหาและความยากลำบากต่างๆ ในการไปศึกษาต่อต่างประเทศ ผลคือ เขาตัดสินใจไปเรียน เขาบอกใครต่อใครว่า อ่านเรื่องความทุกข์ยากต่างๆ หน้าครึ่งแล้วยังลังเลอยู่ แต่พอเห็นประโยคที่มีห้าคำนี้ในย่อหน้าสุดท้าย เขาก็บอกตัวเองทันทีว่า “ต้องไป” (ขณะนี้ เขากำลังเตรียมสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยมหิดลในเดือนมกราคม ๒๕๕๔)
ผมเคยเอาวลีและประโยคเหล่านี้ไปคุยกับนักการศึกษา(ซึ่งส่วนใหญ่ผมใช้เรียกอาจารย์สังกัดคณะศึกษาศาสตร์หรือครุศาสตร์) ก็ได้ความรู้กลับมาว่า ถ้อยคำจำพวกนี้ใช้ได้ดีในการกระตุ้นความนับถือตัวเอง หรือต่อมแห่งศักดิ์ศรี(self esteem) ตามทฤษฎีของมาสโลว์ เหมาะที่จะเอาไปใช้ตะล่อมกล่อมเกลาเยาวชนได้ในหลายๆ กรณี
จะเป็นไปได้เพียงไร ฝากไว้ก็แล้วกันครับ
ขอบคุณครับสำหรับคำเล็กแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่สร้างพลังให้คนฟังและสร้างจินตนาการให้กับตนเองไปในทางที่ดีและมีความกล้าที่จะเดินไป