รู้จำ ใจ ใช้ วิ สัง ประ
เป็นคำที่นักการศึกษา
ใช้ท่องกันอยู่เสมอ
เพื่อให้เข้าใจถึงสภาพลำดับขั้น
ของความรู้ ของ คุณ บลูม โดยมี
การประเมินค่า (Evaluation) เป็นตัวสุดท้าย
ซึ่งเป็นการกระทำต่อข้อมูลโดยการตัดสินใจด้วยเกณฑ์ต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์ภายนอก
หรือเกณฑ์ภายใน เขาใช้คำว่า judgement เลยทีเดียว โดยบลูมนำเสนอว่า
เป็นสติปัญญา เป็นการเรียนรู้ และเป็นการแก้ปัญหา
การลำดับของนักวิชาการฝรั่งท่านนี้เรียงลำดับด้วยการประเมินค่า
และน้ำหนักอยู่ที่การกระทำต่อข้อมูล ซึ่งในยุคแรก ๆ ที่นำเสนอ
ทฤษฎีความรู้นี้ สังคมอเมริกันกำลังแบ่งแยกกันด้วยสีผิว มีการวัด
ไอคิวที่เบี่ยงเบนว่า คนผิวดำีมีไอคิวต่ำ คนผิวสาวมีไอคิวสูง การ
สร้างที่ัวัดและประเมิน สมัยนั้นมีอคติอย่างสูง โดยเฉพาะคิดว่า
การวัด และ ประเมิน นั้นมีความเป็นกลาง ปราศจากอคติ และได้
ตัดสินคนผิวดำว่าโง่ ซึ่งก็มีหลักฐานมากมายในยุคนั้น ได้แก่การวัด
ไอคิวที่ออกข้อสอบวัดโดยอยู่ในบริบทวัฒนธรรมของคนผิวขาว
แต่ต่อมาเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป
คนผิวสีนั้นก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีสติปัญญา
ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย ต่อมา การ์ดเนอร์
ได้นำเสนอว่าคนนั้นมีสติปัญญา
ไปในทิศทางที่แตกต่างกัน เพราะสมองและความถนัดของคนนั้นมีความ
แตกต่างกัน เขาำนำเสนอพาหุัปัญญา ทำให้กระจ่างแจ้งขึ้นว่า
การวัดและ
การประเมินผล ที่มีมาตรฐานเดียวกันใช้ไม่ได้
เนื่องจากผู้คนนั้นแตกต่างกัน
จะใช้แค่สติปัญญาเชิงตรรกกะวัดกันในสมัยเริ่มแรกไม่ได้
ในยุคนั้นวิทยาการ
ทางด้านสมองและระบบประสาทยังไม่เจริญพอที่จะทราบถึงการทำงานของ
สมองอย่างแท้จริง
จึงวัดได้แค่พฤติกรรมที่เป็นสิ่งที่แสดงออกมาเท่านั้น
เมื่อเรามาดูชีวิตประจำวันของเราก็มีพฤติกรรมการประเมินค่าที่แทบจะเป็น
อัตโนมัติเลยทีเดียว เช่นโยนถ่านไฟก้อนแดง ๆ ลงไปในมือคน
เพียงแค่รู้
เป็นก้อนไฟก็ตัดสินใจปัดให้ไกลจากตัว
โดยไม่ต้องวิเคราะห์สังเคราะห์ให้
เสียเวลา การที่ขับรถแล้วมีก้อนหินหล่นใส่ตรงหน้า
สมองก็สั่งการให้เบรค
รถทันทีโดยอัตโนมัต โพลต่าง ๆ
ที่สร้างความน่าเชื่อถือจากกระบวนการนี้
ล้วนแต่ใช้คำถามนำ มีธงนำหน้าแล้วหาข้อมูลตามทั้งนั้น
เนื่องจากมนุษย์มี
อคติ 4 เป็นทุนอยู่แล้ว ได้แก่ลำเีอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง
ลำเอียงเพราะกลัว
ตราบใดที่ยังไม่เป็นอรหันต์ก็เชื่อว่าการประเมินค่านั้นประเมินตามสัญชาตญาณ
หรือแม้แต่พระอรหันต์อาจผิดพลาดเพราะประเมินค่าจากข้อมูลที่ผู้อื่นชงให้ก็ได้
บริบทต่าง ๆ มักซับซ้อน เลื่อนไหล
เอาเป็นว่าพวกวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นเป็นการ
ทดลองเช่นแปลงเกษตร แต่โลกจริง ๆ ก็คือระบบนิเวศวิทยา
ที่เืลื่อนไหลไปตาม
เหตุตามปัจจัย ไม่หยุดนิ่ง
ไม่มีความเห็น