วันก่อนผมได้มีโอกาสสนทนากับ จนท.อินเดียที่ดูแลเรื่องคนอินเดียนอกราชอาณาจักรหรือคนอินเดียที่มีถิ่นพำนักถาวรนอกอินเดีย มีประเด็นน่าสนใจที่นำมาคิดต่อได้
ปัจจุบันคาดว่ามีคนอินเดียในต่างประเทศประมาณ 25 ล้านคน ทั่วโลก (จาก Wikipedia)โดยกระจายกันไปตามภูมิภาคต่างๆ ด้วยความสงสัยผมจึงไปดูเรื่องคนจีนในต่างประเทศด้วย ก็ได้ตัวเลขที่น่าสนใจว่า คาดว่าก็มีคนจีนในต่างประเทศประมาณ 40 ล้านคน
ทั้งคนจีนและคนอินเดียเหลานี้อพยพไปอยู่ในประเทศต่างๆ ตามเวลาที่หลากหลายและต่างกัน แต่ก็นานนับหลายร้อยปีพันปีมาแล้ว สมัยก่อนได้ยินว่ามีแต่คนจีนที่ไปอยู่ต่างประเทศทั่วโลก จนมีไชน่าทาวน์เต็มไปหมด แต่เดี๋ยวนี้ มีลิตเติ้ลอินเดียในหลายประเทศไม่น้อยเหมือนกัน
พูดถึงคนจีนในประเทศไทยเข้าใจได้ง่ายเพราะพวกเราหลายคนก็ล้วนมีเชื้อสายมาจากเมืองจีนทั้งนั้น แต่พูดถึงคนอินเดียหรือที่คนไทยยังนิยมใช้คำว่า"แขก" อยู่นั้น หลายคนไม่รู้เรื่องนัก จึงขอคิดดังๆ จากข้อมูลที่ได้พบในอินเตอร์เน็ตว่า ตัวเลขต่างๆ นั้นมีความหมายเหมือนกัน
เช่น ประเทศที่มีคนอินเดียอพยพไปอยู่มากที่สุดได้แก่สหรัฐอเมริกา ประมาณ 3 ล้านคน มาเลเซีย ประมาณ 2.5 ล้านคน พม่า 2 ล้านคน ซาอุดิอาระเบีย 1.5 ล้านคน สหรัฐอาหรับเอมิเรต 1.4 ล้านคน แคนาดา 1 ล้านคน มอริเชียส 8 แสนคน เป็นต้น ถ้ากระจายตามภูมิภาค ก็มีทั้งอเมริกา ยุโรป เอเชีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา คนอินเดียส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า นักธุรกิจ นักวิชาการและนักการเมือง แต่ถ้าดูจำนวนร้อยละที่ไปอยู่ประเทศต่างๆ ก็น่าสนใจว่าในบางประเทศมีเปอร์เซนต์กว่าครึ่งของประชากรประเทศนั้นๆ เช่น มอริเชียส จากประชากร 1.2 ล้านคน เป็นคนอินเดียถึง 8.5 แสนคน ตรินิแดด มีประชากร 1.2 ล้านคน มีคนอินเดีย 5 แสน ฟิจิมีประชากร 8.4 ล้าน มีคนอินดีย 3.4 แสนคน หรือเนปาล จากจำนวนประชากร 29 ล้าน เป็นคนอินเดีย 4 ล้าน เป็นต้น
การมีคนเชื้อสายของประเทศใดประเทศหนึ่งอยู่ในต่างประเทศนั้นๆ น่าจะมีอิทธิพล ความสำคัญหลายแง่มุมต่อประเทศนั้น ยกตัวอย่างประเทศจีนกับไทยก็ชัดเจน อินเดียกับประเทศต่างๆ ก็เหมือนกันและในลักษณะเดียวกัน คนมาเลยเซียและสิงคโปร์จำนวนมากได้รับการเรียนการสอนจากครูอินเดียในประเทศมาตั้งแต่เด็กจนโต จนซึมซับตรรกะของอินเดียไปโดยปริยาย จึงเก่งพอๆ กับแขก
ในส่วนของประเทศไทย ตัวเลขคนอินเดียที่อพยพไปตั้งรกรากที่เมืองไทยใน wikipedia มีประมาณ 6.5 หมื่นคน แต่ก็คาดว่าน่าจะมีมากกว่านั้น โดยเฉพาะชาวซิกห์ คาดว่าจะมีประมาณ 1.5 แสนคนทีเดียว ผมไม่ค่อยได้ยินว่าคนไทยได้เรียนกับครูอินเดียเพราะ "แขก" ในบ้านเรามักจะมีอาชีพขายผ้า ขายถั่วและไม่ค่อยผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับคนท้องถิ่นเหมือนคนจีนในประเทศไทย ดังนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี คนไทยก็ยังไม่ได้สัมผัสหรืออยากจะเข้าใจอินเดียเหมือนคนมาเลย์หรือสิงคโปร์ที่ผมอ้างถึง
ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่น่าคิดและจะคิดต่อไป
อินเดียมีกระทรวงเพื่อดูแลคนอินเดียนอกประเทศโดยเฉพาะชื่อกระทรวง Ministry of Oversea Indian Affairs ซึ่งคาดว่าจำนวนคนอินเดียในต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 30 ล้านในอีกไม่ช้านี้....ถือเป็นการแข่งขันกับจีน...ที่น่าสนใจจริง
สวัสดีค่ะ
กลุ่มคนอินเดียที่ไปอยู่ในประเทศไทยก็จะนิยมอยู่เป็นย่านนะคะ เคยเห็นที่สิงคโปร์ ถนนที่มีคนอินเดียอยู่จะชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายเลย ยังไม่เคยเห็นอินเดียแต่งงานกันคนไทยเหมือนชาวจีนเลยนะคะ
ยายคิม ครับ
ความเป็นอินเดียหรือ Indianness นั้นเข้มข้นและเข้มแข็งมากครับ ซึ่งทำให้ความเป็นครอบครัวเข้มแข็งตามไปด้วยครับ
สวัสดีค่ะพี่โยคี
สงสัยหลายหมื่นคนของคนอินเดียในไทย
จะอยู่ชลบุรี โดยเฉพาะพัทยา เกินครึ่งละมังคะ
เดินปะปนไปกับคนไทยให้เห็นไม่ใช่น้อย
เขาก็มาใช้ทรัพยากรของเราด้วย
ส่วนเด็กเจ้าของประเทศ นิยมเล่นแต่เกมส์
สนใจการศึกษาเรียนรู้ด้านอื่นๆน้อยไปหน่อย
เขาว่ากันว่า อีกหน่อยคนไทยจะพูดได้ภาษาเดียว ก็คือภาษาไทยนั่นแหละค่ะ
ตันติราพันธ์
ประเทศใด คนในประเทศไม่ปรับตัวให้เข้ากับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก จะแข่งขันได้ลำบาก ภาษาเป็นสื่อในการแสวงหาความร่วมมือ ความรู้และพัฒนาตนเอง คนไทยจึงควรปรับตัวตรงนี้ให้มาก ในขณะที่ทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลกใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว จึงพัฒนาได้เร็วกว่า
สวัสดีครับ..
ผมเพิ่งเริ่มรู้จักเว็บไซต์นี้นะครับเพิ่งเข้ามาใหม่.. ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคนอินเดียและประเทศอินเดียอยู่เหมือนกัน.. อย่างทำไมเวลามองเห็นคนอินเดียหรือเดินผ่านแล้วรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรที่น่าสนใจในความรู้สึกลึกๆของผมนะครับ.. แม้แต่เวลาไว้พระพุทธรูปก็ยังเหมือนสร้างมาจากอินเดียนะครับ.. ผมเคยได้อ่านประวัติการเผยแพร่ศาสนาพุทธจากอินเดียไปยังประเทศจีนยิ่งทำให้ผมอยากรู้ว่า 2 ประเทศนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างให้เราได้ศึกษาอีกมากเลยนะครับ..
ในประเทศไทยมีย่านคนอินเดียหรือป่าวครับ..? เพราะส่วนมากที่ผมเห็นจะเห็นย่านคนเชื่อสายจีนซะส่วนใหญ่.. เคยไปเที่ยวที่ชลบุรีแต่ส่วนมากที่เห็นเป็นฝรั่งเยอะมาก.. เคยคิดว่าพัทยาเป็นเมืองฝรั่งด้วยซ้ำนะครับ..
คุณ ผู้เดินทาง
เมื่อผมเป็นสมาชิกใหม่ที่ G2K เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็รู้สึกประทับใจในความโปร่งใสของการแสดงตัวตนของคนที่บันทึกเรื่องราวและความรู้-ของตน- ไม่ว่าจะสาขาใดและระดับใด ก็ล้วนเป้นสิ่งที่น่าสนใจทั้งนั้น เราสามารถหาความรู้ได้อย่างอิสระและสบายใจ
เรื่องราวเกี่ยวกับคนอินเดียและประเทศอินเดียฏ้มีหลายท่านบันทึกไว้ ทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ ลองหาอ่านดูนะครับ
อินเดียเป็นประเทศที่ต้องสนใจครับเพราะจะเป็นมหาอำนาจหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ครับ
สวัสดีค่ะ
เริ่มต้น ขอเป็นรายการเล่าสู่กันฟังก่อนนะคะ วันนี้วันหยุดของน้าเองค่ะ ตอนนี้น้าได้ทำงานถึงสองสาขา แบบวันนี้ทำสาขานี้อีกวันทำอีกสาขาหนึ่ง บางทีก็งง งง เอ๊ะเราอยู่สาขาใหนเนี่ยะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดีนะที่น้าเริ่มเรียนการฝึกสติ เลยไม่หลงไปไกล. นอกจากนั้นก็ช่วยสามีจัดการเรื่องมรดก ก็หลายล้านเยนอยู่เหมือนกัน (น้าจ้าพูดเยนนะคะไม่ใช่$ อิอิก็แบ่งๆกันไป)
พูดถึงถึงคนอินเดียในต่างประเทศ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังนะคะ ตอนนี้ลูกค้าที่ธนาคารคนอินเดียเยอะขึ้น หน้าที่การงานดีทั้งนั้น แต่ที่น้าเห็นความแตกต่างคือ ผู้ชายอินเดียจะมีความคิดความอ่านค่อนข้างเป็นแบบคนฝรั่ง ขอใช้คำว่าคนฝรั่งก็แล้วกัน คือแทนที่จะใช้คำว่าคนอเมริกัน แต่ผู้หญิงอินเดียจะเกาะติดความเป็นอินเดียแท้ๆเลย แม้กระทั้งการแต่งตัว โดยเฉพาะพวกที่มีอายุหน่อยก็ยังแต่งแบบเดิม ความคิดความอ่านไม่เปลี่ยนเลย มีลูกค้าผู้หญิงอินเดียคนหนึ่งรวยมาก มีลูกสาว ลูกสาวทำงานดี เงินเดือนเยอะแยะ เขาก็ยังจัดหาคู่ให้ลูกสาวของเขาแบบประเพณีเดิม. ลูกสาวก็ไม่ว่าอะไร. Indianness จริง...
ตอนนี้คนอินเดียนอกจากจะถนัดทางด้านคอมฯทางด้านการแพทย์ที่อเมริกาแล้ว จะเห็นว่าทางด้านเกี่ยวกับภาพยนต์เขาก็เริ่มมาแย่งตลาดทางฮอลลี่วู๊ดเกี่ยวกับทางด้านการทำหนัง แล้วทำได้ดีด้วย
ในความรู้สึกของน้าคนที่น่ากลัวสำหรับประเทศอเมริกา คือคนจีน กับคนอินเดีย
เด็กๆส่วนใหญ่ที่โรงเรียน ที่เรียนหนังสือเก่งที่สุด คือเด็กคนจีน คนจีนไม่ว่าจะไปอยู่ประเทศใหนก็เป็นคนจีน ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุยเรื่องคนอินเดีย งัยเปลี่ยนไปคุยเกี่ยวกับคนจีน เนี่ยะละน้าจ้าหละ แค่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ
ขอให้มีความสุขนะคะ
น้าจ้าครับ
การแลกเปลี่ยนความรู้แบบนี้ละครับที่เป็นประโยชน์ใน G2K เพราะมาจากประสบการณ์จริง เกี่ยวกับคนอินเดียในต่างประเทศ
ผมเองก็ทราบว่าในโลกนี้ นอกจากคนจีนซึ่งมีอยู่ทุกแห่งทั่วโลกแล้ว ก็เริ่มมีคนอินเดียนี่ละ ที่จะกระจายกันไปอยู่ตามประเทศต่างๆ ที่สามารถสร้างตัวสร้างอนาคตได้ เช่นบิดาของนายมูร์เกช อัมบานี ก็เคยทำงานในต่างประเทศที่เยเมนซึ่งมีคนอินเดียตั้งรกรากอยู่ ก่อนที่จะตั้งตัวได้และกลับมาอินเดีย จนในปัจจุบันเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในอินเดียและในโลก(ปีนี้ มูร์เกชรวยเป็นอันดับ 4 ของโลก ในขณะที่น้องชายอนีล ก็รวยไล่หลังมาไม่ห่างนัก)
น้าจ้าให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าผู้ชายอินเดียทันสมัยในขณะที่ผู้หญิงยังคงยึดของเดิมอยู่ สิ่งนี้ไปด้วยกันเสมอครับ จึงเรียกว่า Indianness ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ 3 ปประการที่เข้มแข็งของอินเดียในปัจจุบัน(อีก 2 เรื่องคือจำนวนประชากรและความเข้มแข็งของครอบครัว) น้าจ้าลองนึกถึงภาพราชาหรือมหาราชาของอินเดียในอดีตนะครับหรือในหนังแขกก็ได้ ผู้ชายอินเดียคงจะเดินตามแนวนั้น แต่คิดว่าทั้งหมดนี้ยังอยู่ใต้อิทธิพลของความเป็นครอบครัวที่เข้มแข็ง ซึ่งน่าชื่นชมมากที่ยังไม่จางหายไป
คนอินเดียคงเน้นเรื่องคณิต วิทยาศาสตร์และบริหารธุรกิจ และให้ความสนใจกับตัวเลขมากเป็นพิเศษ
คนจีน ผมไม่ทราบอะไรมากนัก จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนอินเดียได้ แต่ก็ยอมรับว่า ในโลกนี้ เราต้องจับตามองจีนและอินเดียเป็นพิเศษ
ขอให้น้าจ้ามีความสุขเช่นกันนะครับ
เจริญพรท่าน
เห็นข้อมูลคนอินเดียในต่างแดนที่ท่านนำเสนอแล้ว เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และไม่สงสัยว่าทำไมคนอินเดียจึงเก่งแทบทุกเรื่อง และรอบรู้ทุกอย่าง แต่ทำอย่างไรจึงจะให้คนไทยได้มองคนอินเดียในภาพบวก ทั้งที่พวกเราก็รับวัฒนธรรมหลายอย่างมาจากอินเดีย
มีข้อสังเกตบางอย่างที่อาตมาคิดเมื่อสมัยเรียนที่อินเดีย ว่าพระไทยที่ไปเรียนอินเดียน่าจะได้รับการส่งเสริมจากคณะสงฆ์ไทยยอย่างจริงจัง เพื่อที่จะไปแผ่วัฒนธรรมและศาสนาพุทธให้รุ่งเรืองในอินเดียอีกครั้ง หรือทางรัฐบาลควรส่งเสริมให้คนไทยไปเรียนอินเดียให้มากด้วย เพื่อจะได้กันช่วยเผยแพร่และสังเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยผ่านนักศึกษากลุ่มนี้ เพราะการศึกษาในอินเดียทุกวันนี้ มีคนหลายเชื้อชาติศาสนามาศึกษากันเป็นจำนวนมาก ถ้ามีคนไทยได้ไปศึกษากันเยอะๆ เท่ากับว่าได้ช่วยกันขยายวัฒนธรรมความเป็นไทยไปสู่นานาชาติ ดังเช่นคนอินเดียในนานาประเทศที่ช่วยกันเผยแพร่วัฒนธรรมจนเป็นที่ยอมรับท่าน
ขอเจริญสุข
เพชร ภิกขุ
(พระมหาวิเชียร ธมฺมวชิโร)
นมัสการครับ
ขออภัยนะครับที่ตอบช้าเพราะเน็ตที่เดลีเสียครับเพิ่งจะใช้ได้วันนี้ ช่วงบ่ายเองครับ
ผมได้รับหนังสือมุทิตาสักการะ 3 เจ้าคุณ ศิษย์เก่าเดลีซึ่งจัดทำโดยคณะศิษย์เก่าและกลุ่มพระนักศึกษาไทย มหาวิทยาลัยเดลีแล้วครับ ด้วยความขอบคุณยิ่ง ท่านคุณาวุฒิฯนำมาให้เอง
ณ โอกาสนี้ขออนุญาตแสดงมุทิตาสักการะแด่พระราชวรมุนี(พล อาภากโร ป.ธ.9. Ph.D พระราชดิลก (ประนต กิติวฑฒโน ป.ธ. 9 Ph.D และพระโสภณกาญจนาภรณ์(ทอมสันต์ จนทสุวณโณ ป.ธ.4. M.Phil ) อีกครั้งด้วยครับ ที่ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ 5 ธันวาคม 2553
เรื่องการส่งเสริมพระไทยและนักศึกษาไทยไปเรียนที่อินเดียนั้น ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ และก็อยากเห็นรัฐบาลเห็นความสำคัญตรงนี้แต่ก็คงต้องใช้เวลาที่จะทำความเข้าใจจนกระทั่งเห็นโอกาสอย่างที่พวกเราศิษย์เก่าเห็นนะครับ...ถ้ามองอินเดียจากเมืองไทย คงเห็นโอกาสนี้ยากครับ
ประเด็นที่ผมนำมาเสนอนั้นดูเผินๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่คิดลึกๆ มีความสำคัญที่แฝงอยู่มาก ถ้าเปรียบเทียบกับไทย ผมไม่เคยเห็นครูอินเดียแท้ๆ สอนในประเทศไทยเลย ก็ยังไม่สายที่จะนำเข้าครูอินเดียเหล่านี้ ผมเคยได้ข่าวว่า โรงเรียน DPS (Delhi Public School) กำลังดูลู่ทางที่จะไปเปิดโรงเรียนมัธยมที่เมืองไทย ก็คงต้องติดตามกันต่อไปครับ แต่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีครับ
เจริญพรท่าน
อาตมาขออนุโมทนาที่ท่านเห็นความสำคัญในการส่งเสริมพระภิกษุไปเรียนต่อในอินเดีย คิดว่าในอนาคตคนไทยส่วนมากจะมองอินเดียในทางที่ดีขึ้น
พระสงฆ์ไทยส่วนมากที่ศึกษาจบมาจากอินเดีย ได้นำความรู้ความสามารถมาช่วยงานศาสนา และการศึกษาในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
ขออนุโมทนาที่ท่านได้แสดงมุทิตาสักการะกับเจ้าคุณอาจารย์ทั้ง ๓ รูป ท่านเป็นศิษย์เก่าเดลีที่ทำงานด้านการศึกษาและการเผยแผ่พระศาสนา และก็มีศิษย์เก่าเดลีรุ่นน้องอีกหลายท่านได้ทำงานเพื่อพระศาสนาเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าพระสงฆ์ไทยได้รับการส่งเสริมการศึกษาที่อินเดียหรือที่อื่นๆ เท่ากับว่าได้พระสงฆ์ที่มีคุณภาพมาพัฒนางานพระศาสนาและสังคมเพิ่มอีกได้เป็นอย่างดี
ขอเจริญสุข
นมัสการครับท่าน
การที่มีพระไทยไปเรียนต่อปริญญาดทและเอกที่อินเดียโดยเฉพาะด้านศาสนา ต้องขอบคุณพวกญาติโยมทั้งหลายตามวัดต่างๆ ครับที่ได้อุดหนุนทุนส่งพระไปเรียนที่อินเดีย เท่าที่ผมทราบมา นอกจากทุนจากอินเดียที่ให้แล้ว ก็มีทุนญาตโยมนี่ละครับ ทำให้มีศิษย์เก่าอินเดียหลายพันคนแล้ว
แต่ที่น่าเสียดายคือเมื่อศิษย์เก่ากลับไปแล้ว รวมตัวกันไม่ค่อยติด หรือไม่ต่อเนื่อง ทำให้สังคมไม่ค่อยรับรู้เรื่องราวของศิษยเก่าอินเดียนัก
คงจะต้องมีสักวันหนึ่งนะครับที่จะมีการรวมตัวกันให้มากกว่านี้ ยกสถานภาพให้เป็นที่รู้จัก เมื่อนั้นผมคิดว่าจะช่วยในการส่งเสริมให้คนไทยสนใจและไปเรียนที่อินเดียกันมากขึ้นครับ
สิ่งหนึ่งที่อยากจะให้คนไทยได้รู้ก็คืออินเดียในปัจจุบันไม่ได้มีเฉพาะแขกที่โพกหัวเท่านั้น อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทั้งในชนชาติและชนเผ่า จึงมีคนอินเดียที่มีหน้าตาทั้งแขกแท้ๆ แขกขาว ดำขำ ดำเข้ม เหลืองแบบธิเบตก็มี และหน้าตาเหมือนคนไทยล้านนาหรือไทยอิสานก็มี อินเดียจึงเป็นสังคมโลกในตัว
การไปศึกษาที่อินเดียจึงมีความสำคัญกับคนไทยและบทบาทของไทยในอนาคตที่จะได้เดินไปกับอินเดียในเวทีโลกได้อย่างคุ้นเคยและเข้าใจ
พระสงฆ์ไทยศิษย์เก่าอินเดียถือเป็นกลุ่มนำร่องครับ
สวัสดีคะท่าน..จากศิษย์เก่ามคธ ปี สองศูนย์
นักศึกษาไทยที่จบจากอินเดียมีเยอะมาก แต่ไม่ค่อยเปิดเผยตัวตน
หรืออาจจะเนื่องจาก ไม่มีสื่อให้ได้เปิดเผย และบางท่านก็ไม่ชำนาญคอมฯ
แล้วก็ปฏิเสธไอทีไปเลย..ทำให้การรวมกลุ่มลำบาก
แต่สำหรับรุ่นของดิฉัน ก็มีการติดต่อกันปีละครั้งสองครั้งในวาระ
วันเกิดของท่านเจ้าคุณพิมพ์ หรือเมื่อเพื่อนของท่านเดินทางกลับมา
เยี่ยมบ้านที่เมืองไทย ก็จะนัดหมายไปรวมกลุ่มกันที่วัดปทุมคงคา
และเราก็กำลังค่อยๆดึงเพื่อนๆ พี่ๆ ให้มาพบปะกัน แต่ท่าทางน่าจะลำบาก
ที่จะมีการจัดกิจกรรมเป็นเรื่องเป็นราวคะ เพราะกระจายกันอยู่ต่างจังหวัด
และปัจจุบัน มคธก็มีนักศึกษาไทยไปเรียนกันเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ
หากจะมีงาน"คงคา-ราตรี" อีกสักครั้งก็น่าจะดีนะคะ
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีอันดีระหว่าง "ไทย-ภารตะ"
ศิษย์สินธุ ครับ
การจะรวมกลุ่มคงต้องมีผู้ประสานงานที่ดีครับ เพราะทุกคนที่เป็นศิษย์เก่าต้องถือว่ามีสิ่งที่เหมือนกันคือมีประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศอินเดียในรูปแบบของตนและมีใจให้อินเดียพอสมควร ถึงได้อยู่รอดมาได้
อีกสิ่งหนึ่งคือความตั้งใจดีที่จะให้ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของคนทั้งสองประเทศ
คิดว่าหากผมถึงวาระที่ต้องกลับประเทศไทย ผมคงจะอาสาเป็นผู้ประสานในการรวมศิษย์เก่าอินเดียให้มาร่วมกันคิดเพื่อไปยังจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้นนะครับ
แต่ในเวลานี้ คงต้องขอผู้อาสาคนอื่น หากท่านคิดเหมือนกัน ก็ขอเรียนเชิญนะครับ
กราบเรียนท่านพลเดช วรฉัตร
ตอนนี้กลุ่มศิษย์เก่ามมหาวิทยาลัยมคธ กำลังดำเนินจัดตั้ง "สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมคธ อินเดีย" โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความเป็นปึกแผ่น ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นของศิษย์เก่าอินเดีย และเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ มีการรวบรวมศิษย์เก่าได้ในระดับหนึ่งแล้ว และขณะนี้เว็ปที่เราทำขึ้นเพื่อใช้ในการติดต่อครับ http://www.magadh-phd.org/ ขอฝากท่านในการประชาสัมพันธ์ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
เมธา สุพงษ์ นิติกร/กรรมการสมาคม
สวัสดีครับ
นับเป็นข่าวดีนะครับที่ สมาคมศิษย์เก่ามคธจะรวมตัวกันเพื่อทำสิ่งดีเช่นนี้ ขอส่งกำลังใจมา ณ ที่นี้ครับ และคิดต่อว่า หากทำเว็บ ลองพิจารณาเว็บบล๊อคโกทูโนแห่งนี้ละครับ เป็นศูนย์ในการประสานงานของสมาคมที่ดีมาก ใช้สะดวกและยังเปิดโอกาสให้คนทั่วไปและสมาชิกโกทูโนได้รับทราบได้อย่างต่อเนื่องด้วย
สวัสดีค่ะมีสามีเป็นคนอินเดียค่ะรู้สึกโกรธเวลามีคนมาดูถูกสามีค่ะและจะพูดก่ะสามีตลอดว่าให้พูดภาษาอังกฤษเพราะมีสิ่งเดี่ยวที่ทำให้คุณมีคุณค่าในสายตาคนไทยแฟนบอกว่าอย่าโกรธแทนฉันเพราะว่าสื่อชอบเสนอแต่ด้านลบของอินเดียนเพื่อเมคมันนี่อันนี้คิดว่าไงค่ะแต่ที่เห็นอินเดียมาลึกๆๆแล้วพวกเค้าก่อน่ารักน่ะค่ะ