งานนี้จัดทุกปี ในช่วงกลางเดือนตุลาคม และ ศ. ดร. วิชัย บุญแสง โต้โผของงานจะคอยมาเกณฑ์เชิงยกย่องให้ผมไปร่วมด้วยเสมอ ไม่ยอมให้ขาด เช่นปีนี้จัดให้ร่วมเสวนาเรื่อง “บทบาทของนักวิจัยต่อการจัดการความรู้และนโยบายสาธารณะ” ร่วมกับ ศ. ดร. มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด และ ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ในวันสุดท้ายของงานคือ ๑๖ ต.ค. ๕๓ (งานนี้จัด ๓ วัน คือ ๑๔ – ๑๖ ต.ค. ที่โรงแรมรีเจ้นท์ ชะอำ) หลังจากนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง การวิจัยกับการสร้างบูรณภาพของคนไทย
ผมดีใจมากที่ไปร่วมงานครั้งนี้ แม้จะต้องเดินทางตรากตรำก็ตาม คือเช้าวันที่ ๑๔ ผมเดินทางไปเยี่ยมชื่นชมวิทยาเขตกาญจนบุรีของ ม. มหิดล นอนค้าง ๑ คืน รุ่งขึ้นออกเดินทางกลับกรุงเทพแต่เช้าเพื่อเข้าร่วมประชุมสภาสถาบันอาศรมศิลป์ แล้วบ่ายวันที่ ๑๕ เดินทางไปร่วมการประชุมนี้ของ สกว.
ที่ดีใจมากก็เพราะว่า ได้ไปร่วมแสดงความขอบคุณ ศ. ดร. วิชัย บุญแสง ที่ได้ทำงานเป็น ผอ. ฝ่ายวิชาการของ สกว. ทำหน้าที่สนับสนุนนักวิจัยระดับยอดของประเทศ ให้ทำงานวิจัยพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง มาเป็นเวลา ๑๓ ปี ก่อคุณูปการแก่วงการวิจัยมาก โดยที่หลังการประชุมนี้ท่านก็จะหมดวาระงาน
ผมประทับใจที่นักวิจัยได้ร่วมกันทำโล่ขอบคุณ ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบให้แก่ ศ. วิชัย โดยนักวิจัยได้พร้อมกันปรบมือแสดงความขอบคุณอย่างกึกก้องยาวนาน และผมดีใจมากที่มีการกระซิบเชิญ ทพญ. พวงทอง บุญแสง ภรรยาของ ศ. วิชัยมาร่วมงานนี้ด้วยโดยไม่บอกว่าเชิญในโอกาสอะไร ทำให้คุณหมอพวงทองตื้นตันใจมาก เวลาเราขอบคุณผู้ชายที่ทำความดี เราต้องขอบคุณภรรยาด้วยเสมอ เพราะเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ไม่มากก็น้อย
กรณี ศ. ดร. วิชัยนี้ ผมภูมิใจตนเองมาก ที่เลือกเชื้อเชิญคนมาทำหน้าที่ ผอ. ฝ่ายวิชาการ ของ สกว. ได้ถูกต้อง ท่านได้ทำงานได้ผลดีเยี่ยมจนเป็นที่รักใคร่นับถือสูงยิ่งจากเหล่านักวิจัย
นอกจากนั้น ผมยังได้พบ รศ. ดร. ขจิต จิตตเสวี อดีต ผอ. ฝ่าย ๑ ของ สกว. ที่ผมเป็นผู้ชักชวนมาร่วมงาน โดยท่านได้ทำงานอยู่ ๕ ปี แล้วออกไป ๕ ปีแล้ว ผมดีใจมากที่ท่านเล่าว่าหลังออกจาก สกว. ท่านกลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทำผลงานวิชาการไต่จากอาจารย์มาเป็นรองศาสตราจารย์
ผมเรียนท่านว่า ตอนที่ผมเป็น ผอ. สกว. ได้เคยฝันว่า คนที่ผมชักชวนมาทำงานที่ สกว. เมื่อทำงานไประยะหนึ่ง เช่น ๖ – ๑๐ ปี ก็จะกลับไปทำงานวิจัยในหน่วยงานเดิมที่ตนสังกัด (หรือหน่วยงานใหม่ก็ได้) และทำงานสร้างสรรค์วิชาการได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเดิมมาก แต่ไม่มีคนทำเช่นนั้นเลย กรณี ดร. ขจิต จึงเท่ากับทำให้ฝันของผมเป็นจริง
ดร. ขจิต อายุครบ ๖๐ ในปีนี้ และ มธ. ต่ออายุราชการให้อีก ๕ ปี ผมถามท่านว่ามีสิทธิ์เสนอผลงานเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการไหม ท่านบอกว่ามีสิทธิ์ ผมจึงยุให้ท่านทำงานวิจัยและผลงานอื่นเพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง ศ. ให้ได้ ท่านดีใจมากที่ได้รับการยุยงนี้
อีกท่านหนึ่งที่ผมดีใจที่ได้พบ แม้จะช่วงสั้นๆ คือ ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธาน ทีดีอาร์ไอ โดยท่านบอกว่าผมมีส่วนทำให้ท่านเปลี่ยนอาชีพจากวิศวกรมาเป็นนักวิจัยนโยบาย เพราะตอนท่านทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น และกำลังตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต ผมเอาเงิน ๒ แสนบาทไปให้ท่านทำวิจัยเชิงนโยบายหรือเชิงระบบ ทำให้ท่านติดใจงานวิจัยแบบนี้ ถ้าเรื่องที่ท่านเล่าเป็นจริงสัก ๓๐% ผมก็ภูมิใจมากที่มีส่วนทำให้สังคมไทยได้เพชรน้ำหนึ่งในการทำงานวิจัยนโยบายสาธารณะ
ผมได้เรียนรู้จาก ดร. สมเกียรติ ว่า ในเชิงเป้าหมาย งานวิจัยนโยบายมี ๓ ประเภท (๑) เพื่อเปลี่ยนความเชื่อของผู้คนในสังคม (๒) เพื่อยิงนก (๓) เพื่อปล่อยปลา “เพื่อยิงนก” หมายความว่า ยิงนโยบายเลวๆ ให้ตกไป “เพื่อปล่อยปลา” หมายความว่า เพื่อส่งเสริมให้นโยบายดีๆ ลุล่วง และผมชอบใจมากที่ ท่านกล่าวว่า นักวิจัยต้องไม่ทำตัวเป็น veto player คือค้านดะ โดยไม่เสนอนโยบายทางเลือกของตนพร้อมหลักฐาน
ได้กลับไปคลุกคลีกับวงการวิจัยทีไร ผมรู้สึกโหยหาวันคืนเก่าๆ ทุกครั้ง และเฝ้าถามตัวเองเสมอว่าหากผมแน่วแน่ในชีวิตนักวิชาการ ไม่โบยบินไปตามสถานการณ์อย่างที่ได้ทำมาตลอดชีวิต ผมจะมีความสุขมากกว่านี้หรือไม่
ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ กล่าวปาฐกถาดีมาก แต่คนที่ต้องการเห็นผลงานอย่าง ดร. สมเกียรติกับผมเห็นตรงกันว่า เราอยากเห็นการกระทำตามที่พูดนั้น มากกว่านี้ และตอนที่เราอยู่ในช่วงสุดท้ายกำลังจะจบการเสวนาที่ผมกำลังดำเนินรายการอยู่ ดร. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีต รมว. วิทย์ เข้ามาในห้อง ผมเข้าใจผิดคิดว่าอุตส่าห์มาจากกรุงเทพ จึงเชิญให้พูดกับนักวิจัย และยุให้ ศ. วิชัย จัดให้ท่านเป็นผู้แจกรางวัลโปสเตอร์ดีเด่น ในช่วงสุดท้าย (เดิม ศ. วิชัย จะให้ผมแจก) และตอนจะจากกันผมบอกท่านว่า ทางการเมืองต้องเพิ่มเงินเข้ามาในการวิจัยเพราะเวลานี้ขาดเงิน ท่านตอบว่า “ไม่จริง” “ไม่จริง” “ไม่จริง” สะท้อนให้เห็นว่าการสื่อสารความจริงระหว่างภาควิจัยกับภาคการเมืองมีปัญหา ทำให้นักการเมืองมองภาพความจริงด้านการวิจัยบิดเบี้ยว
เย็นวันที่ ๑๕ ผมได้ไปร่วม poster session ได้เข้าไปคลุกคลีพูดคุยซักถามนักวิจัย ในลักษณะลงลึกเข้าไปในเนื้อเรื่องและวิธีการของงานวิจัยแต่ละชิ้น ทำให้ผมมีความสุขมาก และยิ่งมีความสุขที่ได้เห็นชัดเจนว่า เวลานี้ระดับคุณภาพขอผลงานวิจัยที่นำมาเสนอ สูงกว่าเมื่อหลายปีก่อนอย่างมากมาย รวมทั้งจำนวนนักวิจัยรุ่นใหม่ที่เก่ง ก็มีมากขึ้นอย่างมาก และกระจายออกไปตามมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอย่างน่าชื่นใจ
ผมชื่นใจ ที่ สกว. ได้ประสบความสำเร็จในการยกระดับของประชาคมวิจัยไทย แต่ผิดหวังนักการเมือง
วิจารณ์ พานิช
๑๗ ต.ค. ๕๓
ไม่มีความเห็น