ในเมื่อคุณค่าเทียม มีลักษณะที่ต่างจากคุณค่าแท้ในเชิงตรงกันข้ามกัน จุดมุ่งหมายที่เป็นคุณค่าเทียมย่อมมีลักษณะที่ขัดแย้งกับจุดมุ่งหมายที่เป็นคุณค่าแท้ไปโดยปริยาย โดยสรุปตามจุดมุ่งหมายที่เป็นคุณค่าแท้ 7 ประการข้างต้น จะเห็นได้ว่า มีอยู่ 4 ประการที่สามารถพิจารณาโดยนัยที่ตรงข้ามกันได้ไม่ยากนัก ได้แก่ ข้อที่ 4 ถึง ข้อที่ 7 ซึ่งอาจจะสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายที่เป็นคุณค่าเทียมนั้น ได้แก่
ด้วยความเชื่อว่าพระพุทธรูปมีความศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยให้บรรลุในสิ่งที่ตนประสงค์ได้ จุดมุ่งหมายอย่างนี้ ขัดกับหลักการน้อมนำพุทธคุณและพุทธธรรมมาพัฒนาตน ให้เป็นที่พึ่งของตนได้ และขัดกับหลักธรรมอื่น ๆ ที่นำไปสู่คุณค่าที่แท้จริง เช่น ความไม่ประมาท เป็นต้น ดังที่พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) ได้แสดงทัศนะไว้ว่า
คนที่ไปเกี่ยวข้องกับผู้อ้างฤทธิ์หรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มักมุ่งเพื่อไปขอความช่วยเหลือ หวังอำนาจดลบันดาลให้เกิดโชคลาภเป็นต้น การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาที่เป็นกรรมวาท กิริยวาท ละวิริยวาท สอนให้คนหวังผลสำเร็จจากการลงมือทำด้วยความเพียรพยายามตามเหตุตามผล การมัวหวังผลจากการอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากอำนาจดลบันดาล อาจทำให้เป็นคนมีนิสัยเฉื่อยชา กลายเป็นคนงอมืองอเท้า อย่างน้อยก็ทำให้ขาดความเพียรพยายาม ไม่รีบเร่งทำสิ่งที่ควรทำ ไม่เร่งเว้นในสิ่งที่ควรเว้น ขัดกับหลักความไม่ประมาท[1]
ลักษณะจุดมุ่งหมายของการบูชาแบบนี้ จึงเป็นคุณค่าเทียมอย่างชัดเจน ซึ่งประชาชนโดยส่วนมากมีแนวคิดเช่นนี้ ดังเช่นจากผลการสำรวจพบว่า เกินกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างมีความเชื่อในเรื่องอำนาจดลบันดาล
ข้อนี้แม้จะหวังพึ่งบุญกุศลที่เกิดจากการบูชา ไม่ได้หวังอำนาจดลบันดาลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังเป็นจุดมุ่งหมายที่ไม่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัย การจะแก้ปัญหาชีวิตให้ผ่านพ้นไป ต้องแก้ปัญหาที่สาเหตุ และต้องแก้เองด้วยสติปัญญา การรอคอยผลของบุญกุศลจะยิ่งทำให้เป็นทุกข์ จิตใจไม่สงบ ปัญหาต่าง ๆ ก็ไม่จบสิ้นกันเสียที ทุกข์ใจอยู่เนือง ๆ เพราะต้องตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าเมื่อไรผลบุญจะช่วย และเมื่อผลบุญไม่ช่วยก็อาจทำให้เกิดผลเสียได้ ในแง่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า บุญกุศลมีผลจริงหรือ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดความสงสัย ไม่มั่นใจในการทำความดี จนอาจทำให้บางคนเลิกการบูชาพระพุทธรูปไปเลยก็ได้ เพราะเห็นว่าไม่เกิดคุณค่าที่ตนปรารถนา ซึ่งการปฏิบัติอย่างนี้ขัดแย้งกับหลักสติปัญญา ทั้งยังอาจเป็นช่องทางให้เกิดมิจฉาทิฏฐิได้ด้วย เพราะฉะนั้นจึงจัดเป็นคุณค่าเทียม เพราะไม่ได้ทำให้จิตสงบและเกิดสติปัญญาอย่างแท้จริง
เพื่ออวดตนว่าเป็นคนดี หรือปฏิบัติเพียงเพื่อเอาหน้า การบูชาในลักษณะนี้ เช่น คนที่นิยมไปวัด บูชาพระ และถือตนว่าเป็นคนเข้าวัดเข้าว่า ใจบุญใจกุศล นับถือพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด แต่ยังมีทิฏฐิมานะ จิตใจยังเหลือล้นด้วยกิเลส ยังมีความต้องการชื่อเสียง คำสรรเสริญ ยศฐานบรรดาศักดิ์หรือความมีเกียรติในสังคมนั้น ๆ อย่างแรงกล้า การบูชาเช่นนี้จึงเป็นลักษณะการบูชาที่สักแต่ว่าทำ ไม่ได้เข้าถึงคุณค่าที่แท้จริงของการบูชา คือ ลดทิฏฐิมานะและกิเลสทั้งหลาย เป็นการบูชาแบบฉาบฉวยหรือผักชีโรยหน้าพอให้ผ่าน ๆ ไป แต่กลับยึดมั่นถือมั่น ถือตนว่าเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นคนดี เป็นต้น
คำว่า “สิริมงคล” ในที่นี้ หมายถึง ผู้วิจัยหมายถึง การมีชีวิตที่ประสบกับความสุขสวัสดี การบูชาที่มุ่งความสุขสวัสดีหรือความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต โดยไม่ปฏิบัติธรรมให้ตรงกับเป้าหมาย ถือว่าได้กระทำการบูชาเพียงเท่านี้ก็เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตแล้ว แนวคิดในลักษณะนี้ ยังคงเป็นแนวคิดของชาวพุทธจำนวนไม่น้อย ดังผลการสำรวจจากแบบสอบถามที่ปรากฎในบทที่ 3 จะเห็นได้ชัดว่า มีถึงร้อยละ 81 ที่มุ่งความเป็นสิริมงคล และนิยมไปไหว้พระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ซึ่งถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ โดยการเล่าลือกันมาองค์นั้นองค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านนั้นด้านนี้ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการถือมงคลตื่นข่าวซึ่งผิดหลักพระพุทธศาสนาอีกด้วย[2] ความสุขสวัสดีที่เกิดจากการบูชาพระพุทธรูปนั้น ย่อมเกิดจากการบูชาด้วยจิตเลื่อมใส จนเกิดความสงบอันเป็นความสุขที่แท้จริง และเกิดสติปัญญาอันเป็นเครื่องป้องกันและแก้ปัญหาชีวิตให้ประสบกับความสวัสดีได้ หากไม่เข้าถึงคุณค่าเช่นนี้ แต่คิดหวังหรือเข้าใจแต่เพียงความเป็นสิริมงคลที่ให้ผลต่อชีวิตแบบลอย ๆ ไม่ใช่เกิดจากการปฏิบัติธรรม การบูชาเช่นนี้ย่อมมีจุดมุ่งหมายที่เป็นคุณค่าเทียม
นอกจากนี้ ยังจุดมุ่งหมายของการบูชาพระพุทธรูปที่เป็นคุณค่าเทียมซึ่งควรพิจารณา นอกเหนือจากการพิจารณาโดยนัยที่ขัดแย้งกับคุณค่าแท้ข้างต้นอีกบางประการที่ผู้วิจัยขอเสนอเพิ่มเติมไว้ในที่นี้ อันเป็นผลจากการสำรวจพฤติกรรมการบูชาพระพุทธรูปจากแบบสอบถามที่แสดงไว้แล้วในบทที่ 3 ได้แก่
ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการบูชาพระพุทธรูปเป็นเพียงเป้าหมายรอง แต่ให้ความสำคัญหรือสนใจการท่องเที่ยวเป็นเป้าหมายหลัก เหมือนอย่างการนิยมไปบูชาพระพุทธรูปสำคัญ ๆ ตามวัดที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เป็นต้น อย่างนี้ก็จัดเป็นคุณค่าเทียม ซึ่งจากผลการสำรวจพบว่า มีผู้นิยมไปไหว้พระพุทธรูปในลักษณะนี้เป็นอันดับสอง รองจากความเชื่อในเรื่องความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต (ร้อยละ 43.2) โดยการนิยมเรื่องการท่องเที่ยวนี้ คิดเป็นร้อยละ 27
ลักษณะนี้ก็เป็นวิธีปฏิบัติที่ขัดกับหลักพระพุทธศาสนา แต่เป็นแนวคิดแบบโหราศาสตร์และไสยาศาสตร์ ซึ่งพระพุทธเจ้าทางถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชา เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาความทุกข์ได้อย่างแท้จริง การบูชาโดยมีจุดมุ่งหมายในลักษณะนี้จึงเป็นคุณค่าเทียม
การบูชาลักษณะนี้ ดูเหมือนว่าอาจจะมีน้อยหรือไม่มีเลย[3] แต่ด้วยระดับปัญญาของคนที่แตกต่างกันและความเชื่อที่ผิดแนวทางพระพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลในการดำเนินชีวิต อาจจะทำให้เกิดแนวคิดและพฤติกรรมที่เป็นไปในลักษณะนี้ได้ ซึ่งย่อมเป็นที่แน่ชัดว่า การบูชาอย่างนี้เป็นคุณค่าเทียม เพราะสนองกิเลส เป็นเหตุแห่งการเบียดเบียน เป็นอกุศลกรรม
ทั้งหมดนี้ เป็นลักษณะของจุดมุ่งหมายของการบูชาพระพุทธรูปที่เป็นคุณค่าเทียม เพราะไม่ตั้งอยู่บนฐานของปัญญา ความมีเหตุผลและไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งโดยหลักสำคัญอาจจะเห็นได้ชัดว่าเป็นลักษณะของการบูชาพระพุทธรูปตามแนวประชานิยม และอาจทำให้สรุปได้ว่า การบูชาพระพุทธรูปตามแนวประชานิยมเป็นการปฏิบัติที่อาจก่อให้เกิดผลที่เป็นคุณค่าเทียมได้ หากมุ่งแต่แนวทางปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับหลักการทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะหลักทางสายกลางดังกล่าวมา
[1] พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หน้า 464 .
[3]สัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา, อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 6 กุมภาพันธ์ 2551.
ไม่มีความเห็น