เป็นที่ทราบในเบื้องต้นแล้วว่า คุณค่าแท้ มีลักษณะเป็นคุณค่าที่เกิดจากปัญญาและสร้างสรรค์พัฒนาปัญญา การจะตัดสินว่าจุดมุ่งหมายใดเป็นจุดมุ่งหมายที่เข้ากับหลักปัญญานั้น อาจพิจารณาได้จากหลักการสำคัญในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ และเป็นแนวทางปฏิบัติของผู้รู้ทั้งหลายมีพระเถรานุเถระตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนปัจจุบันนี้ ซึ่งผู้วิจัยได้สรุปจุดมุ่งหมายของการบูชาพระพุทธรูปดังกล่าวไว้ดังต่อไปนี้
สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าศาสนาเป็นผลิตผลของสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์[1] แม้สัญลักษณ์ทางศาสนาก็เป็นผลผลิตทางวัฒนธรรม การบูชาพระพุทธรูปจึงเป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรม[2] ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา หากจะกล่าวง่าย ๆ ก็คือ การแสดงออกถึงความเป็นชาวพุทธที่ต้องมีความเคารพในสัญลักษณ์สำคัญ คือ พระพุทธรูปอันเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า วัฒนธรรมทางศาสนานี้ ถือเป็นสิ่งสำคัญและมีส่วนช่วยให้ศาสนามีความเข้มแข็งด้วย การเป็นวัฒนธรรมอย่างนี้ ก็เป็นโอกาสให้เด็กหรือลูกหลายสามารถเข้าใกล้ศาสนาได้มากขึ้น
การบูชาพระพุทธรูปจึงเป็นวัฒนธรรมอันดีของชาวพุทธ[3] ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นการปฏิบัติตามแบบอย่างที่พุทธบริษัทในอดีตครั้งพุทธกาลปฏิบัติกัน ดังตัวอย่างที่ผู้วิจัยได้แสดงไว้แล้วในบทที่ 3 เกี่ยวกับการบูชาวัตถุที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า เช่น ต้นโพธิ์และสังเวชนียสถาน เป็นต้น ข้อนี้จึงถือเป็นจุดมุ่งหมายที่มีคุณค่าแท้ แต่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคุณค่าในขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะต้องพัฒนาไปสู่ขั้นสูงต่อไป
ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา การระลึกถึงพระพุทธเจ้า เรียกว่า พุทธานุสสติ การได้บูชาพระพุทธรูปก่อให้เกิดความระลึกถึงพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะการระลึกถึงพระพุทธคุณและพระพุทธจริยาวัตรที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติ ซึ่งในความเป็นมาของการสร้างพระพุทธรูปก็จะเห็นได้ว่า ในยุคแรกของการสร้างพระพุทธรูปก็เพราะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า และการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาก็ทำให้พระพุทธคุณที่เป็นนามธรรมถูกสื่อมาในรูปธรรม ซึ่งบุคคลสามัญทั่วไปสามารถมองเห็นได้ง่าย[4] ข้อนี้ถือว่าเป็นจุดมุ่งหมายที่เป็นคุณค่าแท้ได้ เพราะก่อให้เกิดจิตใจที่ดีงาม สงบ อ่อนน้อม อ่อนโยนและความกตัญญูกตเวทิตา เป็นต้น
ซึ่งตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ตรัสว่า “คนไม่มีที่เคารพไม่มีที่ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์” [5] การแสดงความเคารพต่อบุคคลหรือสิ่งที่ควรเคารพจึงถือเป็นแนวทางที่ทำให้อยู่เป็นสุขหรือเป็นมงคลได้ ในเมื่อพระพุทธรูปเป็นสิ่งสื่อถึงพระพุทธเจ้า แม้พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่การแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นสิ่งดีงามที่ควรปฏิบัติ เพราะถือเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “คารวธรรม” อันเป็นหนึ่งในมงคล 38 ประการด้วย โดยเฉพาะการบูชาพระพุทธเจ้านั้น คือ การปฏิบัติธรรมข้อที่ว่า “พุทธคารวตา” หรือ “สัตถุคารวตา” ซึ่งอยู่ในหลักคารวธรรมข้อแรกในบรรดาคารวธรรม 6 ข้อ[6] นอกจากนี้ ยังจัดอยู่ในลักษณะของการปฏิบัติตามหลักมงคลข้อที่ว่า การบูชาบุคคลที่ควรบูชาด้วย จุดมุ่งหมายของการบูชาพระพุทธรูปในข้อนี้จึงเป็นความมุ่งหมายที่ก่อให้เกิดคุณค่าแท้ คือ ความสุขใจ ความสงบใจและสร้างเสริมคุณธรรมภายในบุคคลนั่นเอง
การพัฒนาตน ถือเป็นเป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเมื่อพัฒนาตนดีแล้ว ย่อมสามารถพึ่งตนเองได้ และการมีตนเองเป็นที่พึ่งโดยที่พัฒนาตนดีแล้วนี้ ถือว่าเป็นที่พึ่งที่หาได้ยากยิ่ง[7] หลักในการพัฒนาตนอย่างหนึ่งก็คือ การมีแบบอย่างที่ดีและเลือกปฏิบัติตามแนวทางผู้เป็นแบบอย่างนั้นและพระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุด เพราะทรงเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ทุกประการ พระพุทธคุณและพระพุทธจริยาวัตรของพระองค์ จึงเป็นหลักในการดำเนินชีวิตหรือหลักในการพัฒนาตนเองได้ ดังที่ผู้ทรงคุณวุฒิทางพระพุทธศาสนาบางท่านได้แสดงทัศนะไว้ว่า “การบูชาพระพุทธเจ้าต้องนึกถึงพุทธคุณ เราจะทำอะไรก็ควรนึกถึงพระพุทธเจ้าว่าท่านทำอย่างนี้ สอนอย่างนี้หรือเปล่า แล้วน้อมนำเอาพุทธคุณมาใช้ในชีวิตของเรา” [8] พระพุทธคุณที่ปรากฎได้ชัดในการบูชาพระพุทธรูป โดยเฉพาะด้วยวิธีการสวดมนต์นั้นได้แก่ พระพุทธคุณที่อยู่ในบทบูชาพระพุทธเจ้าที่ว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"
นะโม คือ ขอนอบน้อม
ตัสสะ แปลว่า พระองค์นั้น
ส่วน ภะคะวะโต คือ ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ คำนี้สื่อถึงพระมหากรุณาธิคุณ
อะระหะโต คือ ทรงเป็นพระอรหันต์หมดจดจากกิเลสทั้งปวง คำนี้สื่อถึง พระบริสุทธิคุณ
และสัมมาสัมพุทธัสสะ คำนี้สื่อถึง พระปัญญาธิคุณ
พระพุทธคุณทั้ง 3 ประการนี้ เป็นคุณธรรมที่สามารถนำไปเป็นเครื่องพัฒนาตนได้[9] หากปฏิบัติด้วยความเข้าใจและมีจุดมุ่งหมายอย่างนี้ การบูชาย่อมเป็นคุณค่าแท้
ในการบูชาพระพุทธรูปนั้น หากมุ่งหมายให้เกิดความสงบจิต และเกิดสติปัญญาในการแก้ปัญหาชีวิต จุดมุ่งหมายนั้นย่อมเป็นคุณค่าแท้ ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว การบูชาพระพุทธรูปสามารถก่อให้เกิดความสงบและสติปัญญาได้
ศาสตราจารย์พิเศษอดิศักด์ ทองบุญ ได้แสดงทัศนะไว้ว่า คนที่มีความทุกข์ จิตใจรุ่มร้อน พลุกพล่าน เมื่อได้บูชาพระพุทธรูป เห็นพระพักตร์ของพระพุทธรูป ย่อมทำให้เกิดความสงบเยือกเย็นได้ เมื่อจิตสงบเยือกเย็นสติปัญญาก็เป็นสิ่งที่ตามมา[10] เพราะความสงบหรือสมาธิ เป็นสิ่งที่ขจัดอกุศลทั้งปวงในจิตใจ จิตใจย่อมไม่ขุ่นมัว สติปัญญาก็ตามมาได้ สามารถแก้ปัญหาหรือหาทางออกให้ชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
อันที่จริงจุดมุ่งหมายข้อนี้ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่จิตสงบและเกิดสติปัญญา เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เมื่อจิตสงบและมีสติปัญญา ทิฏฐิมานะและกิเลสอื่น ๆ ก็ย่อมลดลงและหายไป แต่ความสงบและสติปัญญา กับการลดทิฏฐิมานะและกิเลสอื่น ๆ นั้น มีนัยแตกต่างกัน กล่าวคือ การได้สมาธิและสติปัญญา ถือว่า ได้เครื่องมือในการดำเนินชีวิตที่มีประสิทธิภาพ เป็นการได้พอกพูนคุณธรรมที่เป็นหลักปฏิบัติที่ดีงาม ส่วนการลดทิฏฐิมานะและกิเลสนั้น เป็นภาวะที่ดีงามของจิตใจ เป็นประสิทธิผลที่เกิดขึ้น เป็นตัวเป้าหมายของการบูชาโดยตรง ไม่ใช่เครื่องมือในการสร้างสรรค์คุณค่าอื่น ๆ เหมือนอย่างสมาธิและปัญญา การบูชาพระพุทธรูปแล้ว ทิฏฐิมานะและกิเลสของตนลดลงเสียได้ จึงเป็นจุดมุ่งหมายที่เป็นคุณค่าแท้อย่างชัดเจน
โดยปกติแล้วทุกชีวิตล้วนต้องการความสุข และความสุขดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายขั้นสุดท้ายของทุกคน ดังที่อริสโตเติ้ล มีความเห็นว่า เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตคน คือ ความสุข อย่างอื่นเป็นเพียงวิธีการเพื่อบรรลุความสุขเท่านั้น[11] ความดีสูงสุดของชีวิตคือ ความสุข ความสุขจะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ได้บรรลุธรรมชาติสูงสุดของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ค้นพบได้ในอาณาจักรแห่งจิตในลักษณะที่เป็นการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ของความคิด หรือ การไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่เรียกว่า Contemplation ซึ่งเป็นกัมมันตภาพของจิต คือ แหล่งกำเนิดแห่งความสุขสูงสุดของมนุษย์[12] การบูชาพระพุทธรูป เป็นการแสดงออกที่ดีงาม และหากอยู่บนพื้นฐานของปัญญาหรือความมีเหตุผล ความสุขที่แท้จริงย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา สอดคล้องกับที่มิลล์ (John Stewart Mill) นักปรัชญาธรรมชาตินิยมชาวอังกฤษ มีแนวคิดว่า ความสุขที่มนุษย์ควรแสวงหา คือ ความสุขที่เกิดจากการใช้ปัญญา ความรู้สึก จินตนาการ และจากสำนึกทางศีลธรรม ซึ่งมีค่าสูงกว่าความสุขที่ได้จากประสาทสัมผัส มนุษย์กับสัตว์มีความสุขร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือสุขทางกาย ส่วนความสุขทางใจที่เกิดจากการใช้ปัญญานั้น มีได้เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น เป็นความสุขที่หาได้ง่ายกว่า ถูกกว่าและคงทนกว่า[13] เมื่อได้บูชาพระพุทธรูปตามวิธีการที่เหมาะสมแล้ว ความสุขในลักษณะนี้ย่อมเกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นจุดหมายที่เป็นคุณค่าแท้ของการบูชาพระพุทธรูป
นอกจากนี้ การบูชาพระพุทธรูปยังเป็นการปฏิบัติที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์หรือคุณค่าต่อผู้อื่นได้ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น การบูชาด้วยการปฏิบัติธรรม ในหลักการปฏิบัติธรรมหลายประการ ก็มุ่งเพื่อให้มีความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่น เช่น ในกุศลกรรมบถดังกล่าวแล้ว การไม่ฆ่า การไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย เท่ากับเป็นการให้ความปลอดภัยในชีวิต การไม่ลักทรัพย์ เท่ากับเป็นการให้ความปลอดภัยในทรัพย์สิน การไม่ประพฤติผิดในกาม เท่ากับเป็นการให้เกียรติผู้อื่น เคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และไม่ทำลายครอบครัวเขา หรือแม้แต่การเว้นวจีทุจริต 4 ประการก็เป็นเรื่องของการสร้างความรู้สึกที่ดี เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้โดยตรง ส่วนคุณค่าโดยอ้อม อย่างเช่น การแสดงความเคารพต่อพระพุทธรูปด้วยการกราบ การไหว้หรืออามิสบูชา ย่อมเป็นการสร้างแบบอย่างที่ดีให้ลูกหลานสามารถเรียนรู้และปฏิบัติตามได้[14] เป็นการบ่มเพาะนิสัยที่ดีงามให้ผู้อื่นไปในตัว อีกทั้ง การบูชาด้วยอามิสยังเป็นการสร้างเสริมเศรษฐกิจโดยทางอ้อม เพราะทำให้ระบบอาชีพบางอย่างสามารถดำรงอยู่ได้ในสังคม เช่น อาชีพขายดอกไม้ พวงมาลัย อาชีพที่ทำหน้าที่หล่อกระถางธูป เชิงเทียนและอาชีพขายธูปเทียน เครื่องสักการะต่าง ๆ เป็นต้น เป็นการช่วยอุดหนุนจุนเจือผู้อื่นไปในตัว เพราะหากชาวพุทธมุ่งแต่ปฏิบัติบูชาอย่างเดียว ไม่สนใจอามิสบูชาเลย อาชีพเหล่านี้ย่อมไม่สามารถดำรงอยู่ได้ นี้คือคุณค่าโดยอ้อม การบูชาตามแนวจารีตที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อผู้อื่นด้วยเช่นนี้ ถือเป็นคุณค่าแท้
จากบทวิเคราะห์ข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่าจุดมุ่งหมายของการบูชาที่กล่าวมาเป็นไปตามลักษณะของการบูชาพระพุทธรูปตามแนวจารีตเป็นหลัก จึงอาจสรุปได้ในที่นี้ว่า การบูชาพระพุทธรูปตามแนวจารีตและผลของการปฏิบัตินั้น เป็นคุณค่าแท้ของการบูชาพระพุทธรูป ซึ่งโดยสรุปแล้วอาจจะต้องยึดหลักว่า การบูชาในลักษณะใดที่นำให้ออกห่างจากความหลุดพ้นการบูชาเช่นนั้น ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่สมควร การบูชาหรือการกระทำใดๆ ที่นำไปสู่ความหลุดพ้นได้ เป็นทางสายเดียวกัน การกระทำแบบนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีความเหมาะควรเป็นความดี[15] เป็นคุณค่าแท้ เพราะเมื่อพิจารณาแล้วพฤติกรรมการบูชาดังกล่าวนี้ ไม่ขัดกับหลักทางสายกลางนั่นเอง
[1] เรื่องเดียวกัน, หน้า 8.
[2] สัมภาษณ์ พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย, รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 5 กุมภาพันธ์ 2551.
[3]สัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา, อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 6 กุมภาพันธ์ 2551.
[4]สัมภาษณ์ศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ, ราชบัณฑิต ราชบัณฑิตยสถาน, 14 กุมภาพันธ์ 2551.
[5] องฺ. จตุ. 21 / 21 / 25-26.
[6] พันเอก(พิเศษ)นวม สงวนทรัพย์, สังคมวิทยาศาสนา , หน้า 38.
[8]สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ, ราชบัณฑิต ราชบัณฑิตยสถาน, 14 กุมภาพันธ์ 2551.
[9] สัมภาษณ์ พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย, รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหา มกุฏราชวิทยาลัย, 5 กุมภาพันธ์ 2551.
[10]สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษ อดิศักดิ์ ทองบุญ, ราชบัณฑิต ราชบัณฑิตยสถาน, 9 กุมภาพันธ์ 2551.
[11] นวม สงวนทรัพย์, สังคมวิทยาศาสนา (กรุงเทพมหานคร :โอ.เอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2537), หน้า 27.
[13] สุวัฒน์ จันทรจำนง, ปรัชญาและศาสนา (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2540), หน้า 27.
[14]สัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา, อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 6 กุมภาพันธ์ 2551.
[15] ปรีชา ช้างขวัญยืน, “การศึกษาจริยศาสตร์สังคมในพุทธศาสนาในเชิงวิจารณ์ ,” (วิทยานิพนธ์หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พ.ศ. 2520), หน้า 39.
ไม่มีความเห็น