คำว่า “คุณค่าแท้” (essential value) และ “คุณค่าเทียม” (artificial value) นี้ เป็นที่รู้คุ้นเคยกันมากในสมัยปัจจุบัน เพราะผลงานทางวิชาการของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)[1] ซึ่งดูเหมือนว่าท่านเป็นบุคคลที่ใช้คำนี้ก่อนใครในแวดวงวิชาการทางพระพุทธศาสนาปัจจุบัน[2] และท่านได้ให้สำคัญกับคำนี้มาก โดยได้จัดเรื่องคุณค่าแท้และคุณค่าเทียมไว้เป็นข้อหนึ่งในวิธีการคิดแบบโยนิโสมนสิการ 10 ประการ ดังที่ท่านอธิบายไว้ในวิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียมว่า
คุณค่านี้ จำแนกได้เป็น 2 ประเภท ตามชนิดของความต้องการ คือ
หมายถึง ความหมาย คุณค่าหรือประโยชน์ของสิ่งทั้งหลาย ในแง่ที่สนองความต้องการของชีวิตโดยตรงหรือที่มนุษย์นำมาใช้แก้ปัญหาของตนเพื่อความดีงามและความดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิตหรือเพื่อประโยชน์สุขทั้งของตนเองและผู้อื่น คุณค่านี้อาศัยปัญญาเป็นเครื่องตีค่าหรือวัดราคา จะเรียกว่าคุณค่าที่สนองปัญญาก็ได้ เช่น อาหารมีคุณค่าอยู่ที่ประโยชน์สำหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ มีสุขภาพดี เป็นอยู่ผาสุก มีกำลังเกื้อกูลแก่การบำเพ็ญกิจ หน้าที่ รถยนต์ช่วยให้เดินทางได้รวดเร็ว เกื้อกูลแก่การปฏิบัติการงาน ความเป็นอยู่ การบำเพ็ญประโยชน์สุข ควรมุ่งเอาความสะดวก ปลอดภัย แข็งแรง ทนทาน เป็นต้น
หมายถึง ความหมาย คุณค่าหรือประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์พอกพูนให้แก่สิ่งนั้น เพื่อปรนเปรอการเสพเสวยเวทนา หรือเพื่อเสริมราคาเสริมขยายความมั่นคงยิ่งใหญ่ของตัวตนที่ยึดถือไว้ คุณค่านี้อาศัยตัณหาเป็นเครื่องตีค่าหรือวัดราคา จะเรียกว่าคุณค่าสนองตัณหาก็ได้ เช่น อาหารมีคุณค่าอยู่ที่ความเอร็ดอร่อย เสริมความสนุกสนานเป็นเครื่องแสดงฐานะความโก้ หรูหรา รถยนต์เป็นเครื่องวัดฐานะ แสดงความโก้ มั่งมี มุ่งเอาความสวยงามและความเด่น เป็นต้น[3]
จากคำนิยามข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่า พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ให้คำนิยามความหมายของคุณค่าแท้และคุณค่าเทียมได้อย่างชัดเจน ซึ่งหากพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไป จะพบว่า หลักคิดแบบคุณค่าแท้และคุณค่าเทียมนี้ สามารถใช้ได้กับพฤติกรรมของมนุษย์ได้ทุกเรื่อง มิใช่เฉพาะแต่เรื่องการอุปโภคบริโภคเท่านั้น หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เกิดจากการเลือก การตัดสินใจที่จะทำ ก็สามารถนำหลักนี้เป็นเกณฑ์ตัดสินได้ เพราะการที่บุคคลตัดสินใจหรือเลือกที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมเกิดจากความต้องการหรือแรงจูงใจให้ทำ ประกอบกับการเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ที่เกิดจากการกระทำนั้น ซึ่งเข้ากันได้กับหลักคิดดังกล่าวนี้ ดังที่พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า
วิธีคิดแบบนี้ ใช้พิจารณาในการเกี่ยวข้องปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้ทั่วไป...โดยมุ่งให้เข้าใจและเลือกเสพคุณค่าแท้ที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อ ประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น คุณค่าแท้นี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิต อย่างแท้จริงแล้ว ยังเกื้อกูลแก่ความเจริญงอกงามของกุศลธรรม เช่น ความมีสติ เป็นต้น ทำให้พ้นจากความเป็นทาสของวัตถุ เพราะเป็นการเกี่ยวข้องด้วย ปัญญา และมีขอบเขตอันเหมาะสม มีความพอเหมาะพอดี ต่างจากคุณค่าพอกเสริมตัณหา ซึ่งไม่ค่อยเกื้อกูลแก่ชีวิต บางทีเป็นอันตรายแก่ชีวิต ทำให้อกุศลธรรม เช่น ความโลภ ความมัวเมา ความริษยา มานะ ทิฏฐิ ตลอดจนการยกตนข่มผู้อื่นเจริญขึ้น ไม่มีขอบเขตและเป็นไปเพื่อการแก่งแย่งเบียดเบียน[4]
จากคำอธิบายนี้ ทำให้สามารถเห็นความเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้มากขึ้น เพราะแสดงให้เห็นว่า คุณค่าแท้และคุณเทียม มีลักษณะที่มีความชัดเจนอยู่ในตัว และสามารถพิจารณามาเป็นเกณฑ์การตัดสินได้ ดังนี้
เป็นการเลือกกระทำสิ่งต่าง ๆ บนฐานของปัญญา มีเหตุผล เป็นกุศลธรรม นำมาซึ่งความเจริญงอกงามคุณธรรมจริยธรรมในตัวบุคคลและเป็นประโยชน์ทั้งส่วนตนและบุคคลอื่น ๆ
เป็นการเลือกกระทำสิ่งต่าง ๆ บนฐานของตัณหา ขาดเหตุผล นำมาซึ่งความเจริญขึ้น พอกพูนขึ้นแห่งอกุศลธรรมทั้งหลายในตัวบุคคลและเป็นโทษทั้งส่วนตนและบุคคลอื่น ๆ นั่นเอง
ลักษณะดังกล่าวนี้ สอดคล้องกับทัศนะของผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน ที่กล่าวถึงคุณค่าแท้ในแง่ที่เสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมและเป็นการปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญา ส่วนคุณค่าเทียมเป็นลักษณะก่อให้เกิดความงมงาย ไร้เหตุผล ไม่เป็นการพึ่งตนเองหรือพัฒนาตนเอง แต่หวังพึ่งอำนาจภายนอก หวังพึ่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น ทัศนะที่ว่า “คุณค่าแท้ก็ คือ การบูชาพระพุทธรูปด้วยปัญญา ระลึกถึงพุทธคุณ การสร้างพระพุทธรูปมานั้นเป็นการสร้างพุทธคุณซึ่งเป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม เพราะคนมันรู้ด้วยตาหรือรับเรื่องรูปธรรมได้ง่ายกว่าที่จะรู้ด้วยใจ ส่วนคุณค่าเทียมของการบูชา ก็คือ การทำตามกันมาโดยไม่เข้าใจ” [5]
จากนัยดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่าสาระสำคัญของการตัดสินคุณค่าอยู่ที่จิตใจเป็นสำคัญ และความมีคุณค่านั้นมิได้หมายถึงผลที่ได้รับอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงตัวการกระทำเองซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะได้รับผลแห่งการกระทำนั้น หากเหตุเกิดจากจิตที่เป็นกุศล ประกอบด้วยธรรม ผลที่ควรได้รับย่อมได้แก่ ความสุข ความสงบ ความอิ่มใจ ฯลฯ ซึ่งเป็นภาวะที่จิตใจที่ดีงามร่มเย็นเช่นนี้
[1] ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)
[2] สัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา, อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 6 กุมภาพันธ์ 2551.
[3] พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หน้า 694.
[4] เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.
[5] สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ, ราชบัณฑิต ราชบัณฑิตยสถาน, 14 กุมภาพันธ์ 2551.
ไม่มีความเห็น