คำว่า “ คุณค่า” ในภาษาไทย ตามคำนิยามของราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง สิ่งที่มีประโยชน์หรือมีค่าสูง[1] ตรงกับภาษาอังกฤษว่า value ซึ่งเป็นคำสำคัญอันดับแรก ๆ ในปรัชญาจริยธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวกับลักษณะที่แท้จริงและความสำคัญของคุณค่าทั้งเชิงสัจนิยมและสุนทรียศาสตร์[2] ตามทัศนะทางปรัชญาตะวันตกนั้น มองว่า มีส่วนประกอบและพื้นฐานเดียวกับ “การประเมินค่า” หรือ “valuation” เมื่อนำมาใช้มักจะมีความรู้สึกสับสนกัน แต่ก็มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในวัฒนธรรมร่วมสมัย ไม่เพียงแต่ในทางเศรษฐกิจและทางปรัชญาเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นการเฉพาะกับวิทยาศาสตร์ทางสังคมอื่น ๆ และในมานุษยวิทยาด้วย[3]
ส่วนในทางพระพุทธศาสนา คำสอนต่าง ๆ มีเนื้อหาที่แบ่งออกเป็นส่วนได้ 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เป็นอภิปรัชญา กล่าวถึง ความจริงของจักรวาล ของโลกและสรรพสิ่ง กล่าวถึงธรรมชาติและกฎของธรรมชาติเป็นสำคัญ อีกส่วนหนึ่งเป็นจริยศาสตร์ที่สอนให้มนุษย์เข้าใจความหมายของชีวิต สอนให้มนุษย์รู้จักดำเนินชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นด้วยความไม่ประมาท สอนให้รู้จักใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติและสอดคล้องกับกฎธรรมชาติ[4]
เกี่ยวกับคุณค่านั้น หากพิจารณาตามความหมายในทั่วไปแล้ว เมื่อมาเทียบเคียงกับคำสอนในทางพระพุทธศาสนาจะพบว่า มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องประโยชน์หรือเป้าหมายที่มนุษย์ต้องการได้รับ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นสูงสุดนั่นเอง การศึกษาเรื่องคุณค่าตามทัศนะพระพุทธศาสนาจึงมุ่งเน้นในเรื่องของหลักพุทธจริยศาสตร์เป็นสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับการตัดสินความดี ความชั่วโดยตรง โดยที่ความดี คือ สิ่งที่นำมาซึ่งประโยชน์หรือสุข ส่วนความชั่วเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งโทษหรือความทุกข์นั่นเอง
คำว่า “คุณค่า” ตามทัศนะทางพระพุทธศาสนาจึงเป็นผลดีที่ได้รับจากการปฏิบัติดี หรือที่เรียกว่า “อรรถะ” หรือ “อานิสงส์” นั่นเอง ดังที่พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ) ได้อธิบายความหมายของคำว่า “คุณค่า” ไว้ว่า หมายถึง ราคาก็ได้ หมายถึง ประโยชน์ หมายถึง อานิสงส์ หมายถึง ผลที่เราจะได้รับ นั้นเรียกว่า คุณค่า โดยใจความคือ ประโยชน์หรืออานิสงส์หรือผลที่จะได้รับนั่นเองเรียกว่า คุณค่า [5]
ตามนัยนี้ จะเห็นได้ว่าคุณค่าตามหลักพุทธศาสนาคือการถือเอาประโยชน์จากสิ่งนั้น เช่น คุณค่าของหลักธรรม จะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และบุคคลอื่นก็ต่อเมื่อได้นำเอาหลักธรรมนั้นไปประพฤติปฎิบัติ แต่ถ้าไม่ได้นำเอาไปปฏิบัติต่อให้ธรรมะนั้นวิเศษขนาดไหนก็ตามจะหาค่าอะไรไม่ได้เลย จึงกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบธรรมะซึ่งเป็นสิ่งประกอบด้วยคุณค่าที่มีอยู่แล้วในโลกนี้ ทรงนำคุณค่าที่พระองค์ค้นพบนั้นมาบอกต่อให้แก่พระสาวก ถ้าพุทธบริษัทปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์แล้ว ก็จะเข้าถึงคุณค่าเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงค้นพบ โดยที่หลักสำคัญของเรื่องคุณค่าอยู่ที่การปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 4 จำพวกนี้ มีปรากฏในโลก 4 จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนและไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นจำพวก 1 ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนจำพวก 1 ผู้ปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์ตน แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นจำพวก 1 ผู้ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ ตนทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่นจำพวก 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายท่อนไม้ที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า ไฟ ติดสองข้าง ตรงกลางเปื้อนคูถ ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์แก่เครื่องไม้ในบ้าน ทั้งไม่ สำเร็จประโยชน์ แก่เครื่องไม้ในป่าฉันใด เรากล่าวบุคคลผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ ตนและไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นนี้เปรียบฉันนั้น [6]
แนวคิดเรื่องคุณค่าตามทัศนะทางพระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ ซึ่งมีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจอีกว่า อะไรคือประโยชน์ ประโยชน์มีกี่ระดับ มีลักษณะอย่างไร แต่โดยสาระสำคัญแล้ว การปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนทุกประการถือว่าเป็นสิ่งมีประโยชน์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะในหลักการดำเนินชีวิตนั้น หากจะกล่าวโดยสรุปก็ได้แก่ การดำเนินชีวิตตามทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นลักษณะของการดำเนินชีวิตที่มีเป้าหมายแน่ชัด เป็นทางที่ต้องดำเนินด้วยปัญญา จึงเริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ คือ เริ่มด้วยความเข้าใจปัญหาของตนและรู้จุดหมายที่จะเดินไป โดยมีความรู้และความมีเหตุผลเป็นแนวทางแห่งการรู้เข้าใจ ยอมรับและกล้าเผชิญกับความจริง กล้าที่จะจัดการกับชีวิตของตนเองโดยตนเอง โดยไม่ต้องคอยหวังพึ่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์หรือฤทธานุภาพดลบันดาลจากภายนอก ท่าทีแห่งความมั่นใจเช่นนี้แหล่ะคือลักษณะอย่างหนึ่งของความเป็นทางสายกลาง[7]
ดังนั้น เกณฑ์สำคัญในการตัดสินคุณค่าในการปฏิบัติต่าง ๆ จึงอาจนำเอาหลักธรรมมาเป็นเครื่องตัดสินได้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ในการบูชาพระพุทธรูปก็อาจถือเกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์สำคัญได้ และสอดคล้องกับที่ผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านได้แสดงทัศนะไว้ว่า การบูชาพระพุทธรูปต้องเป็นลักษณะทางสายกลาง ไม่สุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งเกินไป และอยู่บนฐานของปัญญาความรู้ความเข้าใจ ความมีเหตุผล[8] ไม่งมงาย หรือกระทำกันในลักษณะที่ถือปฏิบัติตาม ๆ กันมาอย่างขาดเหตุผล
นอกจากหลักทางสายกลางแล้ว พระพุทธศาสนายังมีหลักธรรมที่เกี่ยวกับคุณค่าซึ่งสามารถนำมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินพฤติกรรมทางจริยธรรมได้อีกมากมายหลายหลักการ โดยที่แต่ละหลักการล้วนมีความเกี่ยวข้องและไม่ขัดแย้งกัน แต่อาจจะมีจุดเน้นที่แตกต่างกันเท่านั้น ซึ่งเมื่อว่าโดยเป้าหมายแล้ว ก็ล้วนมุ่งสู่ประโยชน์สูงสุด คือ ความพ้นทุกข์อันเป็นเป้าหมายเดียวกันกับทางสายกลาง
เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับเกณฑ์การตัดสินคุณค่าตามหลักพระพุทธศาสนา และนำไปสู่วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ คือ การศึกษาวิเคราะห์คุณค่าแท้และคุณค่าเทียมของการบูชาพระพุทธรูป ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาและขอนำเสนอเกณฑ์การตัดสินคุณค่าแท้และคุณค่าเทียมโดยละเอียดตามแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกส่วนหนึ่งในลำดับถัดไปนี้
[1] ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 , หน้า 253.
[2] ประภาศรี สีหอำไพ, พื้นฐานการศึกษาทางศาสนาและจริยธรรม, หน้า 21.
[3] Paul Edwards (Editor-in-Chief), The Encyclopedia of Philosophy, vols. 8, (London : Collier-Macmillan Limited, 1967), page 18-25.
[4]สุวัฒน์ จันทรจำนง , ปรัชญาและศาสนา, หน้า 197.
[5]พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ), “คุณค่าของการปฏิบัติธรรม,” ออนไลน์,http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jummaip&month=04-2007&date=14& group=9&gblog=339.
[7] พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) , พุทธธรรม, หน้า 583.
[8] สัมภาษณ์ พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย, รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหา มกุฏราชวิทยาลัย, 5 กุมภาพันธ์ 2551.
ไม่มีความเห็น