1) พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ) มีทัศนะว่า คุณค่าแท้ของการบูชาพระพุทธรูป คือ เรื่องศิลปะและเรื่องคุณธรรมที่อยู่ในพระพุทธรูปนั้น และการบูชาก็ต้องเน้นที่การปฏิบัติธรรมเพื่อบูชาที่เรียกว่า ปฏิบัติบูชา โดยในแง่ของศิลปะนั้นท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า การสร้างพระพุทธรูปตั้งแต่ยุคแรก คือ พระคันธาระ เป็นศิลปะที่เป็นต้นแบบในการสร้างในสมัยต่อมา ความสวยงามของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาในทุกยุคทุกสมัยนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เพราะเกิดจากความศรัทธา จิตใจที่ดีงาม ความตั้งใจจริงของผู้สร้าง ในแง่นี้จึงอาจกล่าวได้ว่า พระพุทธรูปมีคุณค่าแท้ในทางศิลปะ เพราะเป็นเครื่องจรรโลงใจให้ดีงามนั่นเอง และการบูชาพระพุทธรูปที่ก่อให้เกิดคุณค่าแท้ก็ คือ การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เอาแต่อ้อนวอนรอผลดลบันดาล ซึ่งเป็นคุณค่าเทียม คือ พฤติกรรมการบูชาที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ปัจจุบันนี้การบูชาพระพุทธรูป...บูชาพระพุทธเจ้าเหมือนเป็นพระเจ้า เป็นเทพเจ้า เป็นเทวดา คล้ายๆบูชาพระอินทร์ พระพรหม ศาลเจ้าอะไรต่างๆ บูชาเสร็จแล้วก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ต่างๆนานา เหล่านี้มันเป็นยุคแบบอินเดียก็เหมือนกันผลสุดท้ายก็ไปสู่ภักติ โยคะ การอ้อนวอน เลยกลายเป็นว่าไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้งอมือ งอเท้า หรือลัทธิรอผลดลบันดาล พระพุทธเจ้าไม่นิยม [1]
จากทัศนะนี้ แสดงให้เห็นว่า การปฏิบัติในลักษณะอ้อนวอนและนับถือพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าในลักษณะเป็นเทพเจ้า เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดคุณค่าเทียมนั่นเอง
นอกจากนี้ คุณค่าเทียมอีกลักษณะหนึ่ง ก็คือ การบูชาในลักษณะที่เป็นเชิงเศรษฐกิจ เป็นการค้าการขาย ซึ่งทำให้พระพุทธรูปมีคุณค่าน้อย[2] ลักษณะนี้ก็เป็นเรื่องคุณค่าเทียม
2) พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องคุณค่า ซึ่งสรุปได้ว่า ท่านมองว่า การบูชาพระพุทธรูป ไม่ว่าแบบใด ย่อมมีคุณค่าทั้งนั้น แต่จะมากหรือน้อยก็อยู่ที่ประโยชน์ของการปฏิบัตินั้น ๆ แต่ถ้าหากปฏิบัติสุดโต่งไปก็จะเป็นคุณค่าเทียม ในแง่ของพุทธพาณิชย์ก็เป็นคุณค่าเทียม ดังที่ท่านกล่าวว่า
หลักของพระพุทธศาสนาที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ ถ้าอะไรมากที่สุด สุดโต่งเกินไป มันก็ผิด คุณค่าแท้ตรงนั้นมันก็จะกลายเป็นเทียมไป เพราะว่ามันสุดโต่งเกินไป ในแง่ของเรามอง พระพุทธรูปหรือวัตถุมงคลที่เราสร้างขึ้นมา เราก็จะเห็นว่าวัตถุมงคลมันเป็นตัวที่แค่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ตรงนั้นเอง วัตถุนั้นมันไม่มีอะไร ไม่สามารถจะเป็นมงคลใน ตัวมันเองได้ แต่ว่าเราก็ใช้เป็นนโยบาย ในการให้คนมายึดหาอะไรในการที่จะทำให้คนรำลึกถึงบางสิ่งบางอย่าง แต่ว่าเมื่อสุดโต่งเกินไปตรงนั้นมันก็กลายเป็นคุณค่าที่ เทียมไป ก็โดยแง่ของพุทธพาณิชย์ก็เกิดขึ้น ในแง่ของอะไรๆ ก็เกิดขึ้น มันก็คือเรื่อง ปกติที่อยู่ในสังคม มันสามารถที่จะใช้ได้ในแง่ของทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้ที่เราเรียนนี้ เราก็นึกว่าเพื่อจะให้เป็นบัณฑิต แต่ก็หารู้ไม่ว่า ในด้านหนึ่งก็มีการใช้ความรู้ในทางที่ผิด แม้แต่พวกโจรบางครั้งมันก็ใช้ความรู้ระดับสูง เหมือนกัน ถ้าไปใช้ความรู้ในทางที่ผิด การที่จะตีคุณค่าตรงนั้นจึงอยู่ที่เราจะไปใช้อย่างไร ไม่ใช่อยู่ที่ตรงนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ ตัวนั้น เพราะว่ามันเป็นตัวกลาง ๆ พระพุทธรูปเป็นกลาง ๆ แต่ว่าคนที่เอาไปใช้เป็นอย่างไร นั่นแหล่ะคือปัญหา[3]
โดยสรุป ท่านมองว่า คุณค่าเทียมของการบูชาพระพุทธรูป คือ การบูชาในลักษณะสุดโต่ง เชื่อแบบงมงาย เชื่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ และบูชาในเชิงพุทธพาณิชย์ ส่วนคุณค่าแท้ ก็คือ การบูชาที่ตรงข้ามกับลักษณะดังกล่าว
3) ศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ มีทัศนะว่า คุณค่าแท้ก็ คือ การบูชาพระพุทธรูปด้วยปัญญา ระลึกถึงพุทธคุณ การสร้างพระพุทธรูปมานั้นเป็นการสร้างพุทธคุณซึ่งเป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม เพราะคนมันรู้ด้วยตาหรือรับเรื่องรูปธรรมได้ง่ายกว่าที่จะรู้ด้วยใจ ส่วนคุณค่าเทียมของการบูชา ก็คือ การทำตามกันมาโดยไม่เข้าใจ การบูชาพระพุทธเจ้าต้องนึกถึงพุทธคุณ เราจะทำอะไรก็ควรนึกถึงพระพุทธเจ้าว่าท่านทำอย่างนี้ สอนอย่างนี้หรือเปล่า แล้วน้อมนำเอาพุทธคุณมาใช้ในชีวิตของเรา [4]
4) ศาสตราจารย์พิเศษอดิศักดิ์ ทองบุญ มีทัศนะว่า ในการบูชานั้นมี 2 ลักษณะ คือ อามิสบูชาและปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญปฏิบัติบูชา แต่สำหรับฆราวาสทั่วไปนั้น พระพุทธเจ้ามิได้ทรงห้ามอามิสบูชา เพียงแต่ทรงสอนพระสงฆ์ว่าไม่ควรหมกมุ่นในอามิสบูชา ทั้งนี้เพราะการบูชาสักการะ เป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้นของฆราวาส เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธา ดังในหลักทาน ศีล ภาวนา อามิสบูชาก็อยู่ในขั้นทาน แต่ไม่ควรติดอยู่เพียงทาน เพื่อการบูชาด้วยอามิส เอาดอกไม้ธูปเทียนไปถวายพระเท่านั้น ควรปฏิบัติบูชาด้วย แต่โดยมากก็ถือปฏิบัติกันเพียงเรื่องอามิสซึ่งนี่ถือเป็นคุณค่าเทียม คุณค่าแท้ต้องดูที่จิตว่าจิตพัฒนาขึ้นไม่ จิตสูงขึ้นไม่ ถ้าหากยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น มีคุณธรรมมากขึ้นก็จัดเป็นคุณค่าเทียม แม้การบูชาจะเป็นอามิสก็ตามแต่ ถ้าหากอยู่แค่บูชาแบบไสยาศาสตร์ ก็เป็นเพียงคุณค่าเทียม แต่หากเราเห็นพระพุทธรูปแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระคุณของพระองค์ นึกถึงพระจริยาวัตรของพระองค์ เช่น ปางต่าง ๆ มีพระพุทธจริยาวัตรอย่างไร แล้วน้อมนำพุทธจริยาวัตรนั้น ๆ มาเป็นแนวปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง ก็จะเป็นคุณค่าแท้ของการบูชาพระพุทธรูป
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์พิเศษอดิศักดิ์ ทองบุญ ยังได้กล่าวถึงประโยชน์ที่ได้จากการเข้าถึงคุณค่าแท้ว่า อยู่ที่การกราบพระพุทธรูปแล้ว เกิดจิตสงบ เยือกเย็นขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีความทุกข์ดังที่ท่านกล่าวว่า
ให้มองดูความต้องการของคนที่เข้าไปบูชาพระพุทธรูปแต่ละครั้ง คนที่มีความทุกข์เรื่องใด ๆ เมื่อเข้าไปกราบพระพุทธรูป มองพระพักตร์ของท่านแล้ว เกิดความสงบเยือกเย็นขึ้น ถ้าว่ารุ่มร้อนมา พอเห็นพระหน้ายิ้มก็ทำให้จิตเราที่พลุกพล่านอยู่ก็หยุด การหยุดนี่ มันเป็นการตั้งหลักให้คิดถูก เหมือนกับสมาธิก็เป็นหลักให้เกิดปัญญานั่นแหล่ะ เมื่อเทียบกับหลักไตรสิกขา การเข้ามาพอเห็นพระพุทธรูป เราเริ่มต้นที่ศีลก่อน ศีล สมาธิ ปัญญาน่ะครับ ตรงนั้นเป็นศีล ตรงที่เข้าไปเฝ้า เราไม่มีจิตที่จะคิดทำอกศุลทั้งหลาย แม้แต่ว่าวิตก 3 ที่เป็นอกุศลวิตก เราก็หยุดตรงนี้ เราเริ่มต้นที่จะใก้จิตเราค่อย ๆ สว่างขึ้น เริ่มต้นจากงดเว้นจากเรื่องที่หยาบ งดเว้นจากการทำบาป จิตสงบขึ้น เลิกพลุกพร่านกับความคิดโน้นคิดนี้ ใจก็สงบขึ้นเข้าขั้นสมาธิ เมื่อใจสงบแล้วเราก็นึกถึงอะไรต่าง ๆ ปัญหาที่เราติดค้างอยู่ เอามาคิด คิดด้วยจิตที่มันสงบ ผ่องใส ปัญหาต่าง ๆ ที่เราคิดไม่ออกว่าจะแก้อย่างไร เมื่อจิตสงบก็คิดออก ปัญญาเกิดขึ้นตรงนี้ เราก็ใช้ปัญญาตรงนั้น แก้ปัญหาได้ จะได้มาก ได้น้อยก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นการพัฒนาขึ้นมาขั้นหนึ่ง อย่างนี้ถือว่าถึงคุณค่าแท้ของการเข้าไปบูชาพระครั้งนั้น [5]
จากทัศนะดังกล่าวนี้ สรุปได้ว่า คุณค่าแท้ของการบูชาพระพุทธรูป คือ การบูชาแล้วก่อให้เกิดการพัฒนาทางปัญญาและสามารถนำปัญญานั้นมาแก้ปัญหาชีวิตได้ ส่วนคุณค่าเทียม คือ การบูชาในลักษณะสักแต่ว่าบูชา เน้นที่อามิสบูชาอย่างเดียว และมุ่งบูชาในแง่ของไสยศาสตร์เป็นหลัก
5) รองศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา มีทัศนะว่า ถ้าคำว่า “คุณค่าเทียม” เป็นคำนิยามจากการที่เราได้บางสิ่งบางอย่างมา โดยที่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นสาระสำคัญในการดำเนินชีวิต การกราบไห้วพระพุทธรูปของชาวบ้านในฐานะที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะของโชค ขอลาภให้ตนได้บางสิ่งบางอย่างโดยที่ตนไม่ได้ลงมือทำ อย่างนี้จัดอยู่ในประเภทคุณค่าเทียม ซึ่งเป็นลักษณะการบูชาพระพุทธรูปในระดับขั้นที่ 1 ตามทัศนะของท่าน แต่ถ้าเป็นระดับที่ก่อให้เกิดคุณภาพชีวิต โดยมุ่งที่คุณภาพของใจเป็นหลัก เป็นเรื่องของการเสริมให้ชีวิตดีขึ้น มีหลักการดำเนินชีวิตก็จัดเป็นคุณค่าแท้ ซึ่งท่านได้ชี้แจงว่า การไหว้ในระดับที่ 2 และ 3 นั้นถือว่าเป็นคุณค่าแท้ ดังนี้
การไหว้พระพุทธรูปในระดับที่ 2 ซึ่งยังถือว่าพระพุทธรูปมีความศักดิ์สิทธิ์นี้ คำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในที่นี้ ผมหมายถึงว่า เราจะมองพระพุทธรูปในแง่ที่เป็นวัตถุ สสารเท่านั้นไม่ได้ ต้องมีอะไรมากกว่านั้น สิ่งนี้เราอธิบายไม่ได้หรอก แต่ว่าสิ่งนี้แหล่ะที่ทำให้การ ไหว้พระพุทธรูปมันก่อให้เกิดความรู้สึกว่าเราไม่ได้ไหว้แค่วัตถุ เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าพระพุทธรูปก็เป็นแค่พระอิฐแค่ปูน อันนี้ก็ไม่เข้ากับวิธีคิดแบบนี้ใช่ไหมครับ แต่ในขณะเดียวกัน การไหว้พระพุทธรูปแบบนี้มันมีผลต่อชีวิตผู้ไหว้ คือ ทำให้ชีวิตเขารู้ว่า ชีวิตที่ดีในทางพุทธควรจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นถึงมันจะเป็นเรื่องทางวัตถุ แต่ผมคิดว่ามันก็ให้คุณค่าแท้ ระดับที่ 3 ไม่ต้องพูดถึง มันให้คุณค่าแท้ตรง ๆ อยู่แล้ว [6]
[1] สัมภาษณ์ พระสุธีวรญาณ (ณรงค์จิตฺตโสภโณ), รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 11 กุมภาพันธ์ 2551.
[3]สัมภาษณ์ พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย, รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหา มกุฏราชวิทยาลัย, 5 กุมภาพันธ์ 2551.
[4]สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ, ราชบัณฑิต ราชบัณฑิตยสถาน, 14 กุมภาพันธ์ 2551.
[5]สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษ อดิศักดิ์ ทองบุญ, ราชบัณฑิต ราชบัณฑิตยสถาน, 9 กุมภาพันธ์ 2551.
[6]สัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา, อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 6 กุมภาพันธ์ 2551.
ไม่มีความเห็น