เราถึงตูกะสู ค็อตเทจ ที่พัก ๒ คืนของเรา คือคืนวันที่ ๓ และ ๔ ก.ย. ๕๓ เวลา ๒๓ น. ตรงตามที่คาด ตัวอำเภออุ้มผางอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๕๐๐ เมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่เนิน สูงๆ ต่ำๆ ไมใช่เมืองบนพื้นที่ราบอย่างที่เราคุ้นเคย
ความรู้สึกแรกคือ รีสอร์ท อยู่กับธรรมชาติ มีเสียงจิ้งหรีดร้องระงมไพเราะจับใจ ยิ่งในค่ำวันที่ ๔ ตอนประมาณทุ่มครึ่ง เสียงจิ้งหรีดยิ่งดังก้อง เป็นเสียงจิ้งหรีดที่ดังและไพเราะที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาในชีวิต แต่พอถึงสองทุ่มครึ่ง แม้จะยังมีเสียงจิ้งหรีด แต่เสียงที่ดังก้องมากๆ ก็หายไป ผมบอกตัวเองว่า ผู้ดูแลรีสอร์ทนี้คงจะไม่ฉีดยาฆ่าแมลง จึงยังคงรักษาสภาพธรรมชาติที่มีจิ้งหรีดมากมายเช่นนี้ไว้ได้
ผมเก็บความประทับใจนี้ติดหูและหัวกลับมาบ้านที่ปากเกร็ด เช้ามืดวันที่ ๖ ก.ย. ผมออกไปวิ่งออกกำลังตามวัตรปฏิบัติ หูผมได้ยินเสียงจิ้งหรีดตามทางวิ่งได้ดีขึ้นแม้ในหูจะมีหูฟังวิทยุไปด้วย จนในที่สุดผมปลดหูฟังออกข้างหนึ่งเพื่อฟังเสียงจิ้งหรีดและเสียงธรรมชาติอื่นๆ ระหว่างวิ่ง พบว่ามีเสียงเหล่านี้ตลอดทางวิ่ง คือถนนในหมู่บ้านสิวลี และบางช่วงเสียงก้องไพเราะมาก ผมจับได้ว่าเสียงจิ้งหรีดอื่นๆ ร้องแบบมีเว้นวรรคสั้นๆ แต่ที่ผมได้ยินตอนหัวค่ำคืนวันที่ ๔ ก.ย. ที่ตูกะสู ค็อตเทจ นั้น เสียงมันต่อเนื่องกันไปจนคล้ายเสียงจั๊กจั่น ผมได้บทเรียนว่า สมองของคนเรามีความสามารถสูงในการตัดเสียงรบกวน (noise) ออกไปจากความสนใจ จนกลายเป็นความเคยชิน สูญเสียโอกาสได้รับสุนทรีย์จากสิ่งรอบข้างโดยไม่รู้ตัว เมื่อเรามีสติอยู่กับปัจจุบันตามความเป็นจริง ผัสสะของเราก็ละเอียดอ่อนรับรู้ได้ดีขึ้น เมื่อค่ำวันที่ ๔ ก.ย. การเข้าไปในสถานที่ใหม่ ช่วยให้สติของผมตื่นตัว จึงรับรู้เสียงธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์นี้ได้ดีกว่าปกติ
เข้าวันที่ ๔ ก.ย. ผมออกไปวิ่งออกกำลัง โดยเมื่อออกจากรีสอร์ท วิ่งออกไปทางขวามือ ลงเนินไปตามถนนที่มีรีสอร์ทเรียงรายสองข้างถนน หากตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าเมืองหรือตัวอำเภอ ผมได้สัมผัสอากาศสดชื่นเย็นสบาย สมแล้วที่อุ้มผางได้รับการส่งเสริมเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวแบบ ecotour
เวลาประมาณ ๑๐.๓๐ น. ของวันที่ ๔ ก.ย. หลังจากไปประชุมที่ รพ. อุ้มผาง เพื่อรับฟังเรื่องหลักประกันสุขภาพของผู้ไม่มีสถานะพลเมืองใน ๕ อำเภอชายแดนของจังหวัดตาก และเรื่องการลงทะเบียนบุคคล เป็นเวลาประมาณสองชั่วโมง เราก็ออกเดินทางโดยรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อมีเกียร์ทดแรง เพื่อไปเผชิญสภาพถนนหน้าฝนของอำเภออุ้มผางส่วนที่ห่างไกลจริง เราเดินทางไปทางทิิศตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านถนนที่สองข้างทางเป็นทิวต้นสักใหญ่ออกดอกสล้าง. โดยมีเป้าหมายสำคัญคือศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านนุโพ
เราข้ามเขาที่มีความสูง ๙๒๐ เมตร ลงสู่ที่ราบระหว่างเขาที่ความสูง ๗๐๐ เมตร สองข้างทางเป็นป่าสลับไร่ข้าวโพดและนา ผมมีความสุขมากที่ได้สัมผัสต้นไม้สูงใหญ่รูปทรงงดงาม ประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราแวะที่สถานีอนามัยแม่จัน ต. แม่จัน พื้นที่อำเภออุ้มผางระบบสายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมาไม่ถึง ที่ตัวอำเภอเขาปั่นไฟใช้ ที่สถานีอนามัยมีระบบเซลล์แสงอาทิตย์ ที่จัดให้โดยกระทรวงพลังงาน โดยเขาบอกว่าแบตเตอรี่ใช้ได้ ๒ ปี และตอนนี้ก็ใกล้ครบ ๒ ปีแล้ว แบตเตอรี่เริ่มเสื่อม เก็บไฟได้ไม่ดี วันนี้ไม่มีแดด จึงไม่มีไฟใช้
ถนนหลังจากนี้มีช่วงหล่มโคลนทดสอบรถขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นระยะๆ ยิ่งใกล้กองกำลังบ้านมะโอโคะ ถนนยิ่งเป็นหล่มโคลน บริเวณนี้เคยเป็นเส้นทางเดินลัดระหว่างแดนพม่า ทางการไทยเกรงว่าพม่าจะอ้างความเป็นเจ้าของ เพราะทางตะวันตกเป็นพื้นที่รูป ก ไก่ เว้าเข้าไปในดินแดนพม่า จึงต้องหาทางแสดงความเป็นเจ้าของ และตั้งกองกำลังทหารและ ตชด. มารักษาพื้นที่รวมทั้งจัดตั้งหมู่บ้าน ที่ห่างไกลมาก ชาวบ้านไปรับการรักษาพยาบาลยาก นพ. วรวิทย์จึงมาจัดตั้งสุขศาลาขึ้นให้บริการ มีเจ้าหน้าที่ทีฝึกขึ้นมาจาก อสม. ที่มีประสบการณ์ มีสุขศาลากระจายอยู่ ๑๕ แห่งในอำเภออุ้มผาง หมอวรวิทย์บอกว่า จะจัดหาเงินมาซื้อรถแต๊กให้สุขศาลาพาคนป่วยไปสถานีอนามัย เพราะเวลานี้ต้องใช้วิธีหามกันไป ยากลำบากมาก
เรากินข้าวเที่ยงง่ายๆ ที่นี่ โดยทีมจัดการเดินทางเตรียมอาหารกล่อง น้ำขวด และผลไม้มา แล้วเดินทางต่อสู่เป้าหมายการทำงานเก็บข้อมูลสถานภาพบุคคลที่สถานพักพิงชั่วคราวบ้านนุโพ ซี่งไปทางเดียวกับน้ำตกทีลอซูอันเลื่องชื่อ แต่เราเดินทางเลยไปทางทิศตะวันตก ระหว่างทางเราเฉียดชายแดน มองเห็นค่ายทหารพม่าอยู่บนยอดเขาลิบๆ
ความชื่นใจของการมาเห็นอุ้มผางคือได้มาเห็นป่าที่สมบูรณ์ ต่างจากที่น่านที่ผมขึ้น ฮ. ไปดูเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่เห็นแล้วใจห่อเหี่ยว แต่ก็ไม่ทราบว่าเราจะรัษาป่าอุ้มผางไว้ได้นานเท่าไร เพราะที่ริมถนนส่วนที่อยู่มาทางแม่สอดก็มีการถางป่าปลูกผัก ข้าวโพด และอ้อย ในลักษณะที่ดำเนินการโดยนายทุน ไม่ใช่โดยเกษตรกรรายย่อย
เช้าวันที่ ๕ ก.ย. ผมตื่นพร้อมได้ยินเสียงไก่ขัน หลังจากนอนอ่านทบทวนเอกสาร (ในห้องพักมีโต๊ะแต่งตัว ไม่เหมาะต่อการอ่านหนังสือ) รอจนสว่างผมออกไปวิ่งริมถนน โดยวิ่งไปทางซ้ายมือ ขึ้นเนิน ไปทางที่จะไปปะหละทะ (๒๕ ก.ม.) ซี่งเป็นทางออกนอกเมืองไปทางทิศใต้ มีบ้านคนน้อย สงบเงียบ มีเสียงนกร้องไพเราะ มีต้นสักออกดอกเต็มต้น มีทุ่งข้าวโพด และ มีกระท่อมของชาวบ้าน เป็นบรรยากาศสงบและเป็นชนบทแบบที่ผมชอบ
ระหว่างทางกลับไปห้องพัก ผมถ่ายรูปดอกไม้ที่ทางรีสอร์ทปลูกไว้จนเหลือบไปเห็นตั๊กแตนสีดำลายน้ำเงินสวยงามตัวยาวประมาณ ๒ นิ้วบนต้นดองดึง เขาเกาะนิ่งๆ จนตอนแรกคิดว่าตาย จนผมวนไปถ่ายรูปรอบที่ ๒ จึงพบว่าเขากำลังคลานไปกัดลูกดองดึง แล้วกลับมาเกาะที่เดิม ในรอบที่ ๓ ผมตั้งใจไปถ่ายรูป high definition เก็บไว้ เขากลับมาเกาะที่เดิมพร้อมทั้งเคี้ยวอาหารอย่างสบายใจ
ในการนั่งรถตู้กลับจากอุ้มผางไปแม่สอด วิวข้างทางสวยมาก จริงๆ แล้วถนนขึ้นลงเขาหลายลูก ยอดสูงที่สุดที่เราผ่านสูง ๑,๒๙๕ เมตร ยิ่งใกล้แม่สอดป่าก็ยิ่งน้อยลง กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ปลูกข้าวโพด ข้าว ผัก และอ้อย ตอนอยู่บนยอดเขาบางช่วงมีหมอกหนา ธรรมชาติที่มีต้นไม้หนาแน่นและทิวเขาซ้อนกัน มีสีต่างกัน ช่วยให้การเดินทางมีชีวิตชีวาแม้จะโดนฟัดเหวี่ยงอยู่กับทางวกวนและขึ้นลงเขา
ผมกลับถึงบ้านวันที่ ๕ ก.ย. เวลาประมาณ ๑๕.๓๐ น. ในสภาพไม่บอบช้ำมากนัก ช่วยให้มั่นใจว่าสุขภาพยังพอตรากตรำไหว
วิจารณ์ พานิช
๕ ก.ย. ๕๓
หลวงพ่อ เณรน้อย และศิษยืวัดตัวเปี๊ยก แถวบิณฑบาต
|
รั้วไม้ไผ่ขัดแตะชวนระลึกความหลังครั้งเด้กๆ รั้วบ้านผมเป็นแบบนี้
|
ทางเดินไป บ้านตู บังกะโลพักของผม
|
หน้าบ้านตู ที่ผมพัก
|
ตั๊กแตนกับลูกดองดึง
|
ดอกอะไรไม่ทราบชื่อ ปลูกในตูกะสู ค็อตเทจ
|
ลู่วิ่งยามเช้าของผม เห็นต้นสักออกดอกสล้าง
|
ดอกจันทน์ผา
|
เด็กๆ ชาวบ้านกำลังหาหอยขมในท้องนา บนยอดเขาเบื้องหลังส่วนที่คล้ายหัวนมคือที่ตั้งกองกำลังพม่า
|
บนยอดเขาที่เห็นเจดีย์ คือที่ตังกองกำลังของพม่า
|
เส้นทางไปบ้านมะโอโคะ
|
สุขศาลาในบริเวณกองกำลังรักษาหมู่บ้านมะโอโคะ
|
ทิวทัศน์ระหว่างทาง เห็นหมอกเหนือเทือกเขา
|
ค่ายผุ้ลี้ภัย ใกล้ที่พักรถริมทาง กึ่งกลางระหว่างอุ้มผางกับแม่สอด
|
อ่านแล้วผมได้รับความรู้ดีมากครับ ผมเองเคยไปมาแล้วครับอุ้มผางขับรถยากกว่าไปแม่ฮ่องสอน ต้องเรียกอุ้มผางว่าพ่อฮ่องสอน
ขอบพระคุณอาจารย์มากคะที่เล่าสิ่งที่ดีๆ ให้พวกเราเสมอมา อ่านแล้วเพลิดเพลินและได้ความรู้มากคะ ยังไม่เคยไปคะ ดูรูปแล้วอิ่มใจมากคะ