เมนูนโยบายประชานิยม ที่เคยถูกผลิตขึ้นโดยอดีตรัฐบาลทักษิณ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกขานกันว่าสินค้าทักษิโณมิกส์ (Thaksinomics) นั้น มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ เมนูนโยบายประชานิยม (people-centered policy menu) อันประกอบไปด้วย เงินกู้ยืมของกองทุนหมู่บ้าน การพักชำระหนี้เกษตรกร ธนาคารประชาชน สินเชื่อเอสเอ็มอี นโยบายกองทุนเอสเอ็มแอล โครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน การสงเคราะห์คนยากจนโดยให้ขึ้นทะเบียน เป็นต้น ซึ่งเมนูนโยบายเหล่านี้โดยหลักการแล้วไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายทั้งหมด แต่เมื่อเจือปนกับอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องของรัฐบาลทักษิณแล้ว เมนูนโยบายประชานิยมเหล่านี้ไม่ได้มองในมิติของความสมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์ มองเฉพาะผลประโยชน์ทางการเมืองเพียงอย่างเดียว หรือถ้าเปรียบเมนูนโยบายประชานิยมที่ผลิตโดยรัฐบาลทักษิณเป็นสินค้าแล้วก็เป็นได้เพียงแค่สินค้าด้อยคุณภาพ (inferior goods) เท่านั้น หาใช่เป็นสินค้าที่จำเป็นสำหรับสังคมไทยดังที่โฆษณาชวนเชื่อไม่ การที่รัฐบาลของประเทศใด ๆ จะผลิตสินค้าประชานิยมออกสู่ตลาดให้กับประชาชนในสังคมนั้น ๆ ยอมรับ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางด้านการเมืองของตนนั้น องค์ประกอบที่สำคัญของสังคมดังกล่าวจะต้องประกอบไปด้วย เงื่อนไขในการเข้าถึงของการบริโภค องค์ความรู้ของคนในสังคม และรายได้ เป็นต้น
การวิเคราะห์อุปสงค์ และ อุปทาน ของสินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม)
อุปสงค์ของสินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) เป็นเส้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) กับ เงื่อนไขในการเข้าถึงของการบริโภค ซึ่งมีความสัมพันธ์ในทิศทางที่ตรงกันข้าม แสดงได้ดังสมการ ๑
สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) = f (เงื่อนไขในการเข้าถึงของการบริโภค) ..... สมการ ๑
โดยที่
เมื่อเงื่อนไขในการเข้าถึงของการบริโภคของประชาชนที่มีต่อสินค้า (ประชานิยม) มีเงื่อนไขที่ลดลง (ง่ายและ สะดวกต่อการเข้าถึง) ปริมาณความต้องการสินค้า (ประชานิยม) จะมากขึ้น และในกรณีตรงกันข้าม เมื่อใดที่เงื่อนไขในการเข้าถึงของการบริโภคของประชาชนที่มีต่อสินค้า (ประชานิยม) มีเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้น (ยุ่งยาก เงื่อนไขเยอะ และไม่สะดวกต่อการเข้าถึง) ปริมาณความต้องการสินค้า (ประชานิยม) ก็จะลดลง แสดงได้ดังภาพ ๑
ภาพ ๑ : เส้นอุปสงค์ของสินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม)
อุปทานของสินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) เป็นเส้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) กับ เงื่อนไขในการเข้าถึงของการบริโภค ซึ่งมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน (สมการ ๑)
โดยที่
เมื่อเงื่อนไขในการเข้าถึงของการบริโภคของประชาชนที่มีต่อสินค้า (ประชานิยม) มีเงื่อนไขที่ลดลง (ง่ายและ สะดวกต่อการเข้าถึง) ปริมาณการเสนอสินค้า (ประชานิยม) ของผู้ผลิต (รัฐบาล) จะลดลง เนื่องจากผู้ผลิตมีความเสี่ยงสูงในการบริหารนโยบายให้มีประสิทธิภาพ และเกิดความไม่รัดกุมในการกำกับและดูแลนโยบายรวมทั้งต้องใช้ต้นทุนในการบริหารจัดการที่สูง และในกรณีตรงกันข้าม เมื่อใดที่เงื่อนไขในการเข้าถึงของการบริโภคของประชาชนที่มีต่อสินค้า (ประชานิยม) มีเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้น (ยุ่งยาก เงื่อนไขเยอะ และไม่สะดวกต่อการเข้าถึง) ปริมาณการเสนอสินค้า (ประชานิยม) ก็จะเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ผู้ผลิตสามารถสร้างกรอบและความรัดกุมในการบริหารจัดการนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นหลักประกันในการจัดระเบียบวินัยให้กับผู้บริโภค (ประชาชน) แสดงได้ดังภาพ ๒
ภาพ ๒ : เส้นอุปทานของสินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม)
การวิเคราะห์ประเภท ของสินค้า (นโยบายประชานิยม)
ในการวิเคราะห์ว่า สินค้า (ประชานิยม) ที่ผู้ผลิต (รัฐบาล) ผลิตออกมาเพื่อเสนอขายให้กับผู้บริโภค (ประชาชน) ในสังคมนั้น เป็นสินค้า (ประชานิยม) ประเภทใด มีตัวแปรและเงื่อนไขอยู่มากมาย สำหรับผู้เขียนได้วิเคราะห์และใช้ปัจจัยโดยประกอบไปด้วย ระดับองค์ความรู้ของประชาชน และรายได้ เป็นตัวแปรของการวิเคราะห์ ซึ่งสามารถแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังสมการ ๒
สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) = f ( องค์ความรู้ของประชาชน, รายได้ ) ….. สมการ ๒
กรณี ๑ สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) : เป็นสินค้าปกติ (Normal Goods) เป็นเส้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) กับ องค์ความรู้ของประชาชน และรายได้ ซึ่งมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน
โดยที่
เมื่อองค์ความรู้ของประชาชน และ รายได้ ของคนในสังคม เพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการสินค้า (ประชานิยม) จะมากขึ้น และในกรณีตรงกันข้าม เมื่อใดที่องค์ความรู้ของประชาชน และ รายได้ ของคนในสังคมลดลง ปริมาณความต้องการสินค้า (ประชานิยม) ก็จะลดลง แสดงได้ดังภาพ ๓
ภาพ ๓ : สินค้า (เมนูประชานิยม) : กรณีสินค้าปกติ
กรณี ๒ สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) : เป็นสินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods) เป็นเส้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) กับ องค์ความรู้ของประชาชน และรายได้ ซึ่งมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม
โดยที่
เมื่อองค์ความรู้ของประชาชน และ รายได้ ของคนในสังคม เพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการสินค้า (ประชานิยม) จะลดลง และในกรณีตรงกันข้าม เมื่อใดที่องค์ความรู้ของประชาชน และ รายได้ ของคนในสังคมลดลง ปริมาณความต้องการสินค้า (ประชานิยม) ก็จะเพิ่มขึ้น แสดงได้ดังภาพ ๔
ภาพ ๔ : สินค้า (เมนูประชานิยม) : กรณีสินค้าด้อยคุณภาพ
ในการบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจโดยผ่านกลไกเมนูนโยบายประชานิยมของอดีตรัฐบาลนายกทักษิณที่ผ่านมาเบื้องแรกถือว่าได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนทุกชนชั้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเมนูนโยบายที่ใหม่และฉีกแนวจากเมนูนโยบายของพรรคการเมืองอื่น ๆ ในสังคมไทย และที่สำคัญมีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมประชาชนสามารถจับต้องและเข้าถึงได้ง่าย รวมทั้งมีผลกระทบโดยตรงต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น เงินกู้ยืมของกองทุนหมู่บ้าน การพักชำระหนี้เกษตรกร ธนาคารประชาชน สินเชื่อเอสเอ็มอี นโยบายกองทุนเอสเอ็มแอล โครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน เป็นต้น ซึ่งเมนูนโยบายประชานิยม ดังกล่าวถูกยกย่องว่าเป็น สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) ที่จำเป็นอย่างมากในสังคมไทย ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมต่างออกมาเรียกร้องและสนับสนุนให้ผู้ผลิต (รัฐบาล) ผลิตสินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) ออกมาสู่สังคมในจำนวนมาก
ในการบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจโดยผ่านกลไกเมนูนโยบายประชานิยมของอดีตรัฐบาลนายกทักษิณ แท้ที่จริงแล้ว สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) ได้ถูกเจือปนไปด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งหวังผลประโยชน์ในอำนาจ และ บารมี ทางการเมือง เพื่อปูทางไปสู่การเอื้อผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ในทางธุรกิจ มีการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายกันอย่างกว้างขวาง ทั้งการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจากกรณีขายหุ้นชินคอร์ป การคอร์รัปชั่นในสนามบินสุวรรณภูมิ การคอรัปชั่นในโครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์และตัวตนที่แท้จริง ของผู้บริหารนโยบายของประเทศได้อย่างชัดเจน ดังนั้น เมื่อ สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) จากการออกแบบโดยรัฐบาลของอดีตนายกทักษิณ ได้ถูกปนเปื้อนไปด้วยสารที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง และเหลิงในอำนาจไม่ฟังเสียงเตือนหรือเสียงคัดค้านจากหลาย ๆ ฝ่าย ท้ายที่สุด สินค้า (เมนูนโยบายประชานิยม) ของอดีตนายกทักษิณ จึงแปรเปลี่ยนสถานะจากสินค้าจำเป็นที่คนในสังคมต้องการ เป็น สินค้าด้อยคุณภาพ (inferior goods) ที่ผู้ผลิต (ภาครัฐบาล) ต้องการผลิตออกมามากเท่าไหร่ ก็ได้รับการต่อต้านจากกลุ่มประชาชนที่มีองค์ความรู้ เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ไม่มีความเห็น