เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ มีการประชุมใหญ่ "๒๐๑๐ เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ" ที่ สหประชาชาติ ไฮไลน์สำคัญอยู่ที่ นายจิกมี ธินเลย์ นายกรัฐมนตรีภูฏาน ได้นำเสนอแนวคิดการใช้ดัชนีมวลรวมความสุข (จีเอ็นเอช) เป็นเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป้าหมายที่ ๙ โดยให้เหตุผลว่าจีเอ็นเอชเป็นบทสรุปแห่งเป้าหมายทั้ง ๘ ประการของเอ็มดีจี***
นายกรัฐมนตรีภูฏาน ระบุว่า เอ็มดีจีเป็นกระบวนการที่นำไปสู่ผลสำเร็จแห่งเป้าหมายทั้ง ๘ ประการของยูเอ็น ทั้งยังเป็นเหตุผลที่ทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศยากจน หรือประเทศกำลังพัฒนาในการเชื่อมโยงเหล่ามนุษยชาติเข้าด้วยกัน โดยไม่คำนึงถึงความมั่งมีและยากจน โดยไม่มีระยะเวลาเป็นเครื่องกำหนด นอกจากนั้นยังได้กล่าวประณามเป้าหมายการสร้างความมั่งมีให้ประเทศว่าเป็นเรื่อง "อันตรายและโง่" และเชื่อว่ายูเอ็นจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทั้ง ๘ ประการตามแผนเอ็มจีดีได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘
พร้อมกันนี้นายจิกมียังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “วิกฤติเศรษฐกิจโลกเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความมั่งมีทางเศรษฐกิจโลกเป็นเรื่องลวงตา และสามารถหายไปในพริบตา ทั้งยังเชื่อว่าวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแนวคิดในการใช้ชีวิตของประชากรโลก” ก่อนที่จะก้าวลงจากเวทีพร้อมรอยยิ้มและเสียงปรบมือจากผู้นำประเทศสมาชิกยูเอ็นที่เข้าร่วมประชุม
ความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness : GNH) ถือได้ว่าเป็นแนวความคิดทางปรัชญาที่ริเริ่มโดยพระราชาธิบดีจิกเม ซิงเก วังชุก (Jigme Singge Wangchuck) กษัตริย์แห่งภูฏาน เมื่อกว่า ๓ ทศวรรษที่ผ่านมา พระองค์ได้ทรงประกาศว่าวัตถุประสงค์สูงสุดของรัฐบาลภูฐานก็คือ การส่งเสริมความสุขของประชาชน ดังพระราชดำรัสที่ว่า “ความสุขมวลรวมประชาชาติสำคัญยิ่งกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ” พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับความสุขมากกว่าความอุดมมั่งคั่งของวัตถุในทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสวนกระแสกับแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
ในปัจจุบันกระแสสายธารของการวิวัฒน์ทางด้านเศรษฐกิจเพ่งพินิจที่ความมั่งคั่งพรั่งพร้อมของวัตถุเป็นสำคัญ ซึ่งนัยของความสัมพันธ์กันระหว่างวัตถุกับความสุขดังกล่าวก็ไม่ได้มีนัยสำคัญต่อกันอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ เกี่ยวเนื่องจาก ความสุขเกิดขึ้นได้จากหลากหลายเหตุปัจจัย (ความมั่งคั่งก็เป็นเพียงตัวแปรหนึ่งเท่านั้น) ประการสำคัญยิ่งมวลมนุษยชาติแย่งชิงทรัพยากร (ที่มีอย่างจำกัด) มาเพื่อผลิตสินค้าและบริการเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ (ที่มีไม่จำกัด) มากขึ้นเท่าใด วิกฤติที่หลากหลายทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติ มลภาวะเป็นพิษ รวมถึงภาวะโลกร้อนก็ยิ่งย้อนศรกลับมาทำลายมนุษย์มากขึ้นเป็นทวีคูณเท่านั้น
เมื่อหันมองดูประเทศไทยที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพทางด้านเศรษฐกิจ ได้ทรงให้หลักคิด “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ในการนำไปใช้ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีลักษณะอกาลิโก (ไม่เลือกกาลไม่เลือกสมัย) คือสามารถนำไปใช้ได้ทุกเวลาและสถานที่ เกี่ยวเนื่องจาก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อาศัยกลไกและการทำงานของ “คุณธรรมและจริยธรรม” เป็นตัวเชื่อมทางกิจกรรมของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ภายใต้หลักการของ ความพอประมาณ ความสมเหตุสมผล ความสมดุล และภูมิคุ้มกัน เพื่อพัฒนาไปสู่ความศานติสุขร่วมกันในสังคม
แต่ทว่าการบริหารจัดการประเทศในช่วงเวลาที่ผ่านมาดังกล่าวกลับเป็นไปในลักษณะของการบริหารจัดการโดยอาศัยกลไกการทำงานของ “ผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง” เป็นตัวเชื่อมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
ทั้ง ๆ ที่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ หมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ส่วนที่ ๗ แนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ มาตรา ๘๓ “รัฐต้องส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ได้ถูกบรรจุเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่ที่ผ่านมากลับไม่มีรัฐบาลชุดไหนเลยจริงใจในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และผู้เขียนก็กังวลในประเด็นของ ความชัดเจนและแนวทางปฏิบัติ จะเป็นอย่างไร? จากมาตรา ๘๓ “รัฐต้องส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งผู้เขียนมองว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรีบทำความชัดเจนในประเด็นเหล่านี้ คือ
๑. รัฐต้องส่งเสริม คือจะส่งเสริมอย่างไร?
๒. รัฐต้องสนับสนุน คือจะสนับสนุนอย่างไร?
๓. ที่สำคัญปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามนัยของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง กับภาคเอกชน มีองค์ความรู้และเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่?
๔. ถ้าหากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งหน่วยงานของภาครัฐรวมทั้งภาคประชาชนมีองค์ความรู้ที่แตกต่างกันในบริบทของสาระสำคัญ แล้วการปฏิบัติที่จะนำไป ส่งเสริม และสนับสนุน จะเป็นไปในทิศทางใด?
๕.ถ้าหากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตาม และที่สำคัญหากภาครัฐกลับมีเมนูนโยบายทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการไปทำลายล้างแนวทางแห่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะทำอย่างไร?
นี่เป็นเพียงความกังวลบางส่วน ได้แต่หวังว่ารัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศควรตระหนักและรีบทำความเข้าใจ รวมทั้งกำหนดกรอบให้ชัดเจนในการบริหารจัดการประเทศ ตามวิถีของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างองค์ความรู้ ที่ถูกต้องในทิศทางเดียวกัน ให้กับสังคมอย่างเป็นจริงเป็นจังซักที ไม่ใช่หยิบยกมาพูดไปตามกระแสเพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างเดียว เพราะไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการงดใช้และ/หรือทำลายมาตรา ๘๓ ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
การพัฒนาประเทศบนเส้นทางตามหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นวิถีของการพัฒนาไปสู่ความสุขของสังคมโดยรวมที่แท้จริง ซึ่งเป็นการก้าวข้ามพ้นผ่านเส้นแบ่งของมายาคติที่ว่า “รวยหรือจน” ไปสู่คำว่า “พอเพียง” เมื่อเพียงพอแล้วคำว่ารวยและความสุขก็จะเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัยดังกล่าวที่ได้ทำไว้ในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
*** การประชุมสุดยอดสหัสวรรษแห่งการพัฒนา : แรกเริ่มเดิมทีมีขึ้นในปี ค.ศ.๒๐๐๐ โดยสมาชิกสหประชาชาติจำนวน ๑๘๙ ประเทศ ลงนามให้สัตยาบันร่วมกัน โดยมีพันธะสัญญาที่ว่าด้วยเป้าหมาย ๘ ประการ เพื่อต่อสู้กับความยากจนให้หมดสิ้นไปจากพื้นพิภพโลกนี้ โดยมีสาระสำคัญ คือ
๑. กำจัดความยากจนและความหิวโหย
๒. ให้ผู้คนเข้าถึงการศึกษาพื้นฐานอย่างทั่วถึง
๓. ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศโดยเพิ่มบทบาทของผู้หญิง
๔. ลดอัตราการเสียชีวิตของเด็ก
๕. พัฒนาสุขภาพของสตรีมีครรภ์
๖.ต่อสู้กับโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคร้ายอื่นๆ
๗. รักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน
๘.ส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนเพื่อพัฒนาของประชาคมโลก
ไม่มีความเห็น