* งานชิ้นนี้เกิดจาการเรียบเรียงหนังสือจากผู้รู้หลายท่าน ยังมีข้อตกหล่นอยู่มาก รอการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป กรุณาพิจารณา
ความนำ
พุทธศตวรรษที่ ๑๒ -๑๘ เป็นช่วงระยะเวลาที่บ้านเมืองหรือชุมชนโบราณในเขตประเทศไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับอาณาจักรเขมรโบราณ ส่งผลให้อิทธิพลวัฒนธรรมเขมรโบราณแพร่ขยายเข้ามาบนแผ่นดินไทย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินไทยอย่างมากคือ ทางด้านการปกครอง สังคม คติ ความเชื่อศาสนา รูปแบบศิลปะ ตัวอักษร ภาษา การตั้งถิ่นฐาน การจัดการบ้านเมือง การพัฒนาแหล่งน้ำ
ความหมายของปราสาทหิน
“ปราสาท” (Prasada) ส. หมายถึง อาคารที่มีส่วนกลางเป็นห้องเรียกว่า “ห้องครรภคฤหะ” หรือ “เรือนธาตุ” และมีหลังคาเป็นชั้นซ้อนกันหลายชั้นในรูปสัญลักษณ์แทนความหมายของเรือนฐานันดรสูง อันเป็นที่สถิตของเหล่าเทพเทวดา ปราสาทจึงหมายถึงอาคารที่เป็นศาสนสถานเพื่อประดิษฐานรูปเคารพ และการทำพิธีกรรมทางศาสนาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งในศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทที่เป็นศาสนสถานนั้น สร้างด้วยวัสดุที่มั่นคงแข็งแรงประเภทอิฐหรือหิน ส่วนพระราชมณเฑียรที่ประทับของพระมหากษัตริย์ สร้างด้วยไม้ทั้งสิ้น
ปราสาทเขมรในประเทศไทย หมายถึง อาคารทรงปราสาทที่พบในดินแดนไทยในปัจจุบัน ซึ่งได้รับอิทธิพลทางศาสนาและงานศิลปกรรมของชนชาติเขมรในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๘ เรียกรูปแบบทางศิลปกรรมปราสาทเขมรในประเทศไทยว่า “ศิลปะร่วมแบบเขมร (ขอม) ในประเทศไทย”
สถาปัตยกรรมหินดูรวมถึงปราสาทแบบเขมร มีคติมาจากข้อกำหนดการวางตำแหน่งแท่นบูชาตามคัมภีร์ อัศวเมธา ในการบูชาพระสุริยเทพในยุคพระเวท ที่สัมพันธ์กับดาราศาสตร์
แท่นบูชาที่เปรียบเป็นโลกสวรรค์ของเหล่าเทวะต้องเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสเท่านั้น ปราสาทเขมรจึงสร้างในผังสี่เหลี่ยม
คติการสร้าง
คติเขาพระสุเมรุ
คำภีร์ศิวะปุราณะกล่าวว่า พระอิศวรทรงน้ำด้วยพระเสโท สร้างแผ่นดินด้วยเมโท ใช้จุฑามณีปักลงที่ใจกลางของพื้นภพเป็นเขาพระสุเมรุให้เป็นหลักของโลก และจักรวาล นำพระสังวาลมาสร้างเป็นทิวเขาสวมรอบเขาพระสุเมรุอีก ๗ ทิว เรียกว่า สัตบริภัณฑคีรีเป็นที่สถิตของเทวดา
สูงจากพื้นน้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มียอด ๕ ยอด คือ สุทัศนกูฏ จิตรกูฏ กาลกูฏ ไกรลาส (ที่สถิตของพระอิศวร) และ คันธมาทกูฏ ที่ฐานมีเขา ๓ ลูกรองรับ เรียกว่า ตรีกูฏ
มหาทวีปทั้ง ๔ ล้อมรอบคือ ชมพูทวีป อมรโคยาน ปุพพวิเทห และ อุตรกุระ มีทวีปน้อยๆ เป็นบริวาร ๒,๐๐๐
มีมหาสมุทรทั้ง ๔ ทิศล้อมรอบ คือปิตสาคร ผลิกสาคร ขีรสาคร น้ำสีขาว (ทะเลน้ำนมเกษียรสมุทรที่สถิตย์ของพระนารายณ์) และนิลสาคร
มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์น้อยใหญ่ หมุนเวียนล้อมรอบ
เมื่อพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ (พ.ศ.๑๔๓๒ - ๑๔๔๔) สร้างเมืองพระนครมาใช้ พระเจ้ายโศวรมันทรงเลือก เขาพนมบาแค็ง เป็นศูนย์กลางเมืองพระนคร และสร้างปราสาทพนมบาแค็งเป็นปราสาท ๕ หลัง แสดงถึงยอด ๕ ยอดของเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นที่ประทับของเทวดา
ปราสาทเขมร สามารถแยกออกเป็น ๒ สายวัฒนธรรม
๑ อินเดียภาคเหนือ เรียกว่า “ทรงศิขร” (สิ-ขะ-ระ) คือ ปราสาทที่มีหลังคารูปโค้งสูง ก่อน พศว.๑๔
๒.อินเดียภาคใต้ เรียกว่า “ทรงวิมาน” ต้น พศว. ๑๔ เป็นต้นมา (ชัยวรมันที่ ๒)
คติวสฺตุปุรุษมณฺฑล
คัมภีร์ศิลฺปศาสฺตฺร ศาสตร์สถาปัตยกรรมฮินดู (วสฺตุวิทฺยา) แบบโอริสาในประเทศอินเดีย มองโครงสร้างของอาคารเปรียบเหมือนร่างกายของจักรวาลที่เรียกว่า “ปุรุษฺ” คือทรรศนะทาง “มานุษยรูป” (Anthropomorphic From) อันเป็นการแปลงรูปกายวิภาคของจิตวิญญาณแห่งจักรวาล (เทพเจ้า) ให้ปรากฏเป็นรูปแบบที่มองเห็นได้โดยการสร้างมโนทัศน์ทางสัญลักษณ์แห่งสถาปัตยกรรมต่อมณฑลที่สัมพันธ์กับจักรวาล อันเกี่ยวเนื่องกับทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์โดยตรง
จะกำหนดพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แบ่งออกเป็น ๘๑ ช่อง ร่างโครงร่างมนุษย์ลงบนพื้นที่ ๆ จะก่อสร้าง แล้วอัญเชิญเทพเจ้าลงมาประจำพื้นที่ของโครงร่างกาย กำหนดให้ส่วนกลางผังเป็นตำแหน่งของ “ครฺภคฺฤหะ” ถือเป็นนาภีของจักรวาล ซึ่งจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเท่านั้น เพราะเชื่อว่า สี่เหลี่ยมจัตุรัสคือความสมบูรณ์มั่นคง ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
เทวสถานไม่นิยมสร้างเป็นรูปวงกลม เพราะเชื่อว่าเป็นเทวสถานสำหรับเทพชั้นรอง
คติในศานาพุทธนิกายมหายาน
พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีจำนวนมากมายดุจเมล็ดทรายในคงคานที แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่พระองค์ยังคงประทับอยู่ในดินแดนพุทธเกษตร และกำลังสั่งสอนสรรพสัตว์อยู่ ซึ่ง “พุทธเกษตร” คือดินแดนที่มีแต่ความสุข ผู้ที่อยู่ในดินแดนนั้นจะบรรลุนิพพานอย่างแน่นอน ดินแดนพุทธเกษตรมีอยู่เป็นจำนวนมาก ที่เรารู้จักกันดีคือ ดินแดนสุขาวดี ดังนั้นชาวพุทธฝ่ายมหายานจึงมุ่งที่จะไปยังพุทธเกษตร ปราสาทหินก็เปรียบเสมือนดินแดนพุทธเกษตร ที่มีพระพุทธเจ้าประทับและยังสั่งสอนสรรพสัตว์อยู่
รูปแบบของปราสาทหิน
ปราสาทที่สร้างขึ้นตามคติเทวราชา
- สร้างขึ้นบนฐานซ้อนกันหลายชั้น ๓ – ๕ ชั้น เพื่อสื่อความหมายถึงภูเขาพระสุเมรุ เป็นศูนย์กลางการปกครองตามคติเทวราชา
- ขุดสระน้ำรอบปราสาท สื่อถึงมหาสมุทรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
- สันนิฐานว่าประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับพระบรมศพ เทวรูปที่ประดิษฐานอยู่ในปราสาทประทานนอกเหนือจากการเป็นรูปแทนองค์เทพเจ้าแล้ว ยังเป็นรูปบุคคลที่วายชนม์ซึ่งได้เข้ารวมกับเทพเจ้า
อโรคยาศาล
อโรคยาศาล เป็นสถานพยาบาลที่สร้างขึ้นตามรายทางโบราณจากเมืองพระนคร ไปยังเมืองอื่นๆ ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้แผ่พระราชอำนาจไปถึงและสร้างปราสาทหินเอาไว้ ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรหม กล่าวว่า พระองค์ทางสร้างอโรคยศาลจำนวน ๑๐๒ แห่ง ประเทศไทยพบจารึกที่เกี่ยวอโรคยศาลแล้ว ๗ หลัก
เทพประจำโรงพยาบาล
พระไภสัชครุไวทูรยประภา (พระโพธิสัตว์ไภษัชยสุคต) ถือเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ประสาท “ความไม่มีโรค” แก่ประชาชน พระศรีสูรยไวโรจนจันทโรจิ และพระศรีจันทรไวโรจนโรหินีศะ ผู้ขจัดซึ่งโรคของประชาชน นอกจากนี้ยังมีรูปเคารพพระโพธิสัตว์และเทพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลัทธิพุทธมหายาน และที่เกี่ยวข้องกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และประติมากรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ธรรมศาลา
จากจารึกปราสาทพระขรรค์ กล่าว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โปรดให้สร้างที่พักคนเดินทางพร้อมด้วยไฟ (วหนิคฤหะ – บ้านมีไฟ) ทั้งสิ้น ๑๒๑ แห่ง ตามเส้นทางจากเมืองพระนครไปยังเมืองต่าง ๆ ที่เรียกว่า เส้นทางราชมรรคา หรือ เส้นทางสายพระราชดำเนิน ในประเทศไทยคือ จากราชธานี (ยโศธรปุระ) ไปยังเมืองวิมาย มี ๑๗ แห่ง
นายเดอลาจองกิแยร์ แห่งสำนักฝรั่งเศสปลายบูรพาทิศ ได้กำหนดให้อาคารที่กล่าวไว้ในจารึก ซึ่งมีสถาปัตยกรรมตามรูปแบบ “โบราณสถานแบบปราสาททัพเจย” ให้เรียกว่า “บ้านมีไฟ” นายหลุย์ ฟีโนต์ เป็นผู้เรียกบ้านมีไฟนี้ว่า "ธรรมศาลา" (Dharmasala)
ธรรมศาลามีบริเวณสำคัญ ๒ ส่วนได้แก่ ส่วนที่พักสำรับคนเดินทาง ทำด้วยเครื่องไม้ และส่วนที่เป็นศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทางก่อด้วยศิลา
ธรรมศาลาในประเทศไทยจะก่อด้วยศิลาแล้ง ส่วนธรรมศาลาที่อยู่ในประเทศกัมพูชาจะก่อด้วยหินทราย
แผนผัง
สร้างบนที่ราบ ปราสาทประธานยกฐานสูงหลายชั้น (เฉพาะปราสาทประจำราชกาล ปรากฏในกัมพูชาเท่านั้น) แผนผังปราสาทประธานสมดุลทุกทิศทางและ
สร้างบนยอดเขา ปราสาทประธานไม่ยกฐานสูง ทางเดินทอดยาววิ่งเข้าหาปราสาทประธาน แผนผังปราสาทประธานมีความสมดุล แต่อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์นี้ก็มิใช่สิ่งตายตัว
วัสดุและเทคนิคในการก่อสร้าง
สถาปัตยกรรมแบบแขมรได้รับรูปแบบอาคารไม้จากอินเดีย และปัจจุบันก็อาจศึกษาอาคารดั่งเดิมซึ่งสร้างด้วยไม้จากการพิจารณาที่สร้างด้วยอิฐและศิลาทรายรวมทั้งศิลาแลงที่ยังคงเหลืออยู่
เนื่องจากมีความซับซ้อน จึงมีความจำเป็นต้องผสมผสานวัสดุในการก่อสร้างเช่น ส่วนฐานมักใช้ศิลาแลง ส่วนอาคารมักใช้หินทราย และใช้ไม้เป็นในการประกอบ เช่นทำสลัก คาน หรือส่วนตกแต่ง เช่นเพดานเป็นต้น
โบราณสถานแบบเขมรโดยทั่วไปใช้วัสดุก่อสร้างหลักสามชนิดได้แก่ อิฐ (ก่อน พศว. ๑๔ – ๑๕) ศิลาทราย (พศว. ๑๕ -๑๘) และศิลาแลง (พศว. ๑๘ เป็นต้นมา) กับใช้วัสดุรองคือไม้เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างภายใน
การบูรณะปราสาทหิน (ANASTYLOSIS)
คือการรื้อโบราณสถานที่พังทลายลงมาแล้วประกอบขึ้นมาใหม่ให้มีรูปร่างดีดังเดิมโดยการศึกษาถึงตำแหน่งหินที่ตกลงมาที่พื้นแล้ววิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของตำแหน่งหิน การประกอบคืนมีหัวใจว่า
“การบูรณะจะต้องไม่ทำของเก่าให้เป็นของใหม่”
นักวิชาการชาวฮอลันดานำมาใช้ครั้งแรกกับบูโรพุทโธ อินโดนีเซีย จากนั้นนักวิชาการสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศใช้กับปราสาทหินในประเทศกัมพูชา สำหรับประเทศไทยมีการนำวิธีนี้มาใช้คือ นายBernard Philippe Groslier ร่วมกับ ศ.หม่อมเจ้ายาใจ จิตรพงศ์ นำมาใช้กับปราสาทหินพิมาย
วิธีการบูรณะปราสาทหินด้วยวิธีอนัสติโลซิสมีขั้นตอนดังนี้
• ศึกษาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมและรูปแบบทางศิลปกรรม
• ทำผังแบบส่วนที่จะบูรณะ แล้วถ่ายสภาพประกอบทุกขั้นตอน
• เคลื่อนย้ายศิลาที่พังทลาย ทำรหัสบนก้อนศิลา นำไปเรียงไว้กับพื้นเป็นกลุ่ม ๆ
• ขุดค้นทางโบราณคดี ขุดแต่งโดยรอบโบราณสถาน
• เสริมฐานล่าง ประกอบศิลากลับคืน เสริมโครงสร้างภายใน โดยใช้วิธีการสมัยใหม่
• หากศิลาของเดิมไม่สามารถประกอบกลับคืนได้ ให้ใช้วัสดุใหม่ประกอบแทน แต่ต้องทำให้มีความแตกต่างจากของดั่งเดิม
• จัดภูมิทัศน์ปรับปรุงทัศนียภาพโดยรอบ
สรุปความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับปราสาท
• ศูนย์กลางการปกครอง คติเทวราชา ศูนย์กลางชุมชนชุมชน
• สถานพยาบาล และเป็นที่พักพิงผู้คนเวลาเดินทางไกล
• เป็นที่ประดิษฐาน รูปเคารพ และใช้ทำพิธีกรรมทางศาสนา
เอกสารประกอบการเขียน
หนังสือภาษาไทย
คู่มือมัคคุเทศก์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ไม่ปรากฏครั้งที่พิมพ์ .กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. ๒๕๔๑. ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์, วิไรรัตน์ ยังรอด. คู่มือท่องเที่ยว-เรียนรู้ : ปราสาทหิน พิมาย พนมรุ้ง เมืองต่ำ ตาเมือง เขาพระวิหาร. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : มิวเซียมเพรส. ๒๕๕๐. พิริยะ ไกรฤกษ์, รศ.ดร.. ราคเหง้าแห่งศิลปะไทย. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ริเวอร์บุคส์ จำกัด. ๒๕๕๓. ระพีศักดิ์ ชัชวาลย์. และคณะ. รายงานการขุดแต่งและบูรณะปราสาทเมืองสิงห์. ไม่ปรากฏครั้งที่พิมพ์. พระนคร : งานการศึกษาและประชาสัมพันธ์ กองพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ. ๒๕๒๐. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. ปราสาทขอมในดินแดนไทย ความเป็นมาและข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ. พิมพ์ครั้ง แรก. กรุงเทพฯ : มติชน. ๒๕๔๘. สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์. ศ.ดร.มรว.. ทับหลังในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.๒๕๓๑. สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์. ศ.ดร.มรว..ปราสาทเขาพนมรุ้ง (ศาสนบรรพตที่งดงามที่สุดในประเทศไทย). พิมพ์ครั้งที่ ๕. สมุทรปราการ : เรืองบุญ. ๒๕๔๙. สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์. ศ.ดร.มรว.. ศิลปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.๒๕๓๑.อุดม เชยกีวงศ์. วัฒนธรรมขอมกับความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา. ๒๕๕๒.
หนังสือต่างประเทศ
Michale Freeman and Claude Jacques. Anclent Angkor. Bangkok : River Books. 2006.
บทความ
เกียรติขจร ไชยเธียร. “มาตรวัดระยะและสัดส่วนในสถาปัตยกรรมฮินดู : กรณีศึกษา “ปราสาทนครวัด”.” วรสาร สยำกุก. ฉบับที่ ๑ ฉบับที่ ๒. (กันยายน – ตุลาคม). ๒๕๔๖.
บทโทรทัศน์
พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ วิทยากร, ศุภรัตน์ ตี่คะกุล เขียน. เรื่อง ปราสาทหิน, ปราสาทพิมาย. บทโทรทัศน์ จดหมายเหตุกรุงศรีฯ. ออกอากาศโทรทัศน์กองทัพบกช่องเจ็ด.
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
* งานชิ้นนี้เกิดจาการเรียบเรียงหนังสือจากผู้รู้หลายท่าน และยังมีข้อตกหล่นอยู่มาก กรุณาอย่านำไปใช้อ้างอิง
วันนี้ การอัพโหลดช้ามากเลยครับ
เอาเป็นว่า ถ้าปผู้เขียนอารมณ์ดี ๆ จะมาจัดการใสรูปต่อให้เสร็จ
ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับผู้ติดตาม
ดีมากๆ เลยครับ
กำลังอยากศึกษารายละเอียดเรื่องปราสาทหินพอดี
ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ นะครับ
อยู่เมืองลิงค่ะ เห็นพระปรางค์สามยอดที่สวยงามทุกวัน ทราบว่าสร้างในสมัยขอม
ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในจำนวนปราสาทหินที่บ้านเรามีอยู่ ใช่ไหมคะ
สวัสดีครับ...
ผมมาแวะอ่านได้ความรู้ดีมาก..
ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน...พรหมมา
สวัสดีค่ะอาจารย์ สบายดีนะคะ กำลังนึกรูปแบบปราสาทหิน เรียกว่าอะไร ได้ความรู้มากมาย
การบูรณะปราสาทหิน (ANASTYLOSIS) ... ขอบพระคุณค่ะ