ผมกำลังทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาธิ และพยายามนึกถึงกรอบอ้างอิงใน Domain & Process ของวิชาชีพกิจกรรมบำบัด ที่กล่าวถึง "สมาธิในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต" ได้น่าสนใจโดยสรุปคือ
การฝึกสมาธิ (Meditation training) คือ รูปแบบหนึ่งของกิจกรรมการดำเนินชีวิต ที่เน้นความมีวินัยในการจดจ่อ การทบทวนจิตสำนึก และการสำรวจพลังงานในการใช้หน้าที่ของร่างกาย ของแต่ละบุคคล
การฝึกสมาธินั้นมีหลายวิธีการ ที่พัฒนามาจากความเชื่อและความเข้าใจในวัฒนธรรมและภูมิปัญญาจากชนกลุ่มตะวันออกและตะวันตก และยังคงทำการศึกษาผลของการฝึกสมาธิเพื่อการบำบัดฟื้นฟู (หรือสมาธิบำบัด) ผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และ/หรือจิตสังคม ต่อไปโดยยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนทางการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
นอกจากนี้ในทางประสาทวิทยาศาสตร์และศาสตร์ของกิจกรรมการดำเนินชีวิต เราสนใจว่า การฝึกสมาธิในระดับ รูปแบบ และความถี่ที่เหมาะสม เช่น การฝึกสมาธิแบบ Vipassana-Zazen-Samatha ระดับลึก (5-46 ปี) ในกลุ่มผู้เข้าวิจัยด้วยเครื่อง MRI ซึ่งมีประสบการณ์ฝึกสมาธิทุกวันนาน 10-90 นาที (ระดับที่มีผลกระตุ้นการทำงานของสมองคือ 8 นาที) จะช่วยการทำงานของสมอง ได้แก่ พัฒนาความทรงจำ รักษาระดับความตื่นตัวที่เหมาะสมในการจัดการอารมณ์ ควบคุมระดับสารเคมีในสมองที่มีผลต่อความเครียด
อย่างไรก็ตามประสิทธิผลของการฝึกสมาธิน่าจะพัฒนาความรู้ความเข้าใจของคนๆหนึ่งเพื่อพัฒนาความสามารถในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตตามหลักการทางกิจกรรมบำบัด กล่าวคือ มีทักษะในการฝึกสมองผ่านจิตสำนึก มีทักษะการผ่อนคลายผ่านกระบวนการหายใจและการรับความรู้สึกที่หลากหลาย มีทักษะการจัดการความล้า ความเจ็บปวด และความเครียดด้วยความรู้ความเข้าใจข้อเท็จจริงที่พิสูจน์แก้ไขได้ด้วยตนเอง และมีทักษะการวางแผนทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตที่ใช้พลังงานอย่างสมดุล เป็นต้น
ลองศึกษาความหมายของการฝึกสมาธิข้างต้นจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Zazen
http://en.wikipedia.org/wiki/Samatha
http://en.wikipedia.org/wiki/Vipassana
เมื่อเปรียบเทียบวิธีการสามรูปแบบนั้น พบว่า การฝึกสมาธิแบบ Zazen นั้นจะนั่งประสานมือและเท้าอย่างพร้อมเปิดความรู้สึกนึกคิดที่จับต้องความเป็นจริงแห่งชีวิตได้ ลืมตาเล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกพร้อมที่จะรู้สติอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคล้ายกับการฝึกสมาธิแบบ Samatha (ฝึกจิตให้จดจ่ออย่างสงบ อาจมีการนับจำนวนครั้งของการหายใจได้) แต่ถ้าหลับตาหมด ฝึกหายใจพร้อมทบทวนความคิดใดๆ อย่างมีสติ (เกิดความรู้ความเข้าใจที่รู้แจ้ง) ก็จะเป็นการฝึกสมาธิแบบ Vipassana อย่างไรก็ตามการฝึกสมาธิทั้งสามแบบสามารถนำมาผสมผสานกันได้อย่างต่อเนื่องและประยุกต์ใช้อย่างพอเหมาะในการพัฒนาความสามารถของการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตได้ หากใช้กรอบอ้างอิงกิจกรรมบำบัด
เป้นความรู้ที่ดีมากคะ^^
ขอบคุณครับคุณ Cro Mon Yong
ยินดีอย่างยิ่งครับคุณยาย
ลองติดตามอ่านประสบการณ์ดีๆ ที่ผมได้ไปแนะนำกิจกรรมบำบัดด้วยการฝึกสมาธิให้อาสาสมัครจิตอาสาช่วยเหลือผู้ป่วยเบาหวานที่
http://gotoknow.org/blog/yahoo/397569
http://gotoknow.org/blog/krutoiting/398959
http://gotoknow.org/blog/sk-ccc/398050
ขอบคุณครูต้อย พี่มด และพี่ ดร. ขจิต มากครับ
การฝึกสมาธิเป็นLeisure ที่ดีมากอย่างหนึ่ง ทำได้ทุกเพศทุกวัย ได้ทั้งคนปกติ และผู้พิการ
เพราะการฝึกสมาธิ ช่วยให้เกิดการรับรู้ดี จัดลำดับความคิดดี และยังทำให้เกิดความจรรโลงจิตใจ ยกจิตใจให้สูงขึ้น
หากได้มีเวลานั่งสมาธิ ก็เท่ากับว่าได้มีเวลาทบทวนตนเอง มองตนเองให้อยู่กับปัจจุบัน การมีสติจะช่วยให้เราระงับ
อารมณ์ต่างๆที่มากระทบได้ดีขึ้น ทำให้คิดและเข้าใจเรื่องราวต่างๆในแง่บวกได้ง่ายขึ้น ซึ่งความคิดในแง่บวกนี้เอง
ที่จะทำให้ชีวิตของผู้ป่วยเปลี่ยนไป ทั้งด้านร่างกาย และอารมณ์ ถือว่าเป็นLeisure ที่ดีมากๆค่ะ
ขอบคุณมากครับคุณพิมประไพ