ภูมิปัญญาการต่อเรือมาด
ผืนน้ำผืนใหญ่ทางภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่ ๑,๐๔๒ ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งรับน้ำผืนใหญ่ที่มีลักษณะเป็นทะเลสาบแบบลากูน(Lagoon)ขนาดใหญ่ และการที่ทะเลสาบสงขลาได้รับทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม จึงทำให้ทะเลสาบสงขลาเป็นระบบนิเวศผสมผสาน หรือ “ทะเลสาบสามน้ำ” ที่มีทั้ง น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติ จึงเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่หล่อเลี้ยงผู้คนรอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาทั้ง ๓ จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา กว่าล้านคนมาตั้งแต่อดีต และในชุมชนยังเต็มไปด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้าน และศิลปวัฒนธรรมแขนงต่างๆ กอปรกับชาวชุมชนยังมีการใช้วิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายในการประกอบอาชีพโดยใช้ภูมิปัญญาในการจัดการทรัพย์ในดิน สินในน้ำ เพื่อเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัวแบบพอเพียง จึงเป็นวิถีชุมชนในลุ่มน้ำหนึ่งที่น่าสนใจศึกษาเรียนรู้ ชาวบ้านริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลาในพื้นที่รอบลุ่มทะเลสาบทั้งสองฝั่งทั้งในจังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง มีการประกอบอาชีพทำการประมงพื้นบ้านในทะเลสาบสงขลา นับพันกว่าครัวเรือน
และชาวประมงพื้นบ้านเหล่านี้กำลังประสบปัญหาจากภาวะน้ำในทะเลสาบสงขลา แห้ง ตื้นเขิน และมีสภาพขุ่น-ถึงน้ำเสีย ทำให้ปริมาณปลาในทะเลมีจำนวนน้อยลง และพันธุ์ปลาบางชนิดเริ่มสูญพันธุ์ ทำให้ประมงพื้นบ้านหาปลาได้น้อยและประสบกับภาวะดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยก่อนหน้านี้ชาวบ้านจะมีรายได้จากการออกหาปลาทุกวัน เฉลี่ยเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วจะยังมีกำไรวันละ ๒๐๐ กว่าบาท แต่ปัจจุบันนี้หาปลาได้วันละประมาณ ๕๐ บาท หรือบางวันหาปลาแทบจะไม่ได้เลยบวกกับในช่วงนี้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ชาวบ้านต้องเพิ่มต้นทุนในการออกเรือหาปลาขึ้นตาม อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันก็ทยอยปรับตัวเพิ่มราคาขึ้น ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพชาวประมงส่วนใหญ่จึงได้รับผลกระทบพบกับปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายตามมา แต่ต้องฝืนทำ เพราะด้อยการศึกษาและไม่มีอาชีพอื่นรองรับ วิถีการออกทะเลหาปลาของชาวประมงพื้นบ้านน่าจะมีการทบทวนหวนกลับมาใช้วิถีแบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่าย เช่น ออกหาปลาด้วยเรือใบ เรือแจว หรือ เรือพาย ซึ่งภูมิปัญญาดั้งเดิมเรื่องการต่อเรือนับวันจะหดหายไปจากชุมชน หากผู้คนชุมชนต่างๆริมทะเลสาบสงขลาละเลยไม่ให้ความสำคัญอาจทำให้สูญหายได้
ดังนั้นวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน มหาวิทยาลัยทักษิณ จึงได้มีความคิดที่จะจัดโครงการสืบค้นและสืบสานภูมิปัญญาการต่อเรือให้ยังคงอยู่ เพื่อเป็นรายได้ของชาวชุมชนและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้น ในปี งบประมาณ ๒๕๕๒ ให้กับผู้ที่สนใจเรียนรู้กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเชิงวัฒนธรรมโดยทั่วไป
แหล่งข้อมูลการเรียนรู้
ที่ตั้ง ถนนสายทะเลน้อย – ลำปำ หมู่ที่ ๓ ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
เจ้าของกิจการ นายสุชาติ เหมือนสังข์ อายุ ๕๐ ปี เป็นชาวตำบลทะเลน้อยโดยกำเนิด อดีตเป็นชาวประมงพื้นบ้านเคยออกทะเลหาปลามาประมาณ ๑๐ ปี และต่อเรือใช้เอง ปัจจุบันหันมาประกอบอาชีพต่อเรือขายเมื่อประมาณ ๒๐ ปีมานี้ โดยช่วงแรกๆต่ออยู่ที่อำเภอร่อนพิบูลจังหวัดนครศรีธรรมราช เพิ่งย้ายมาตั้งอู่ต่อเรือที่นี่เมื่อปี ๒๕๕๐ โดยมีช่างลูกมือจำนวน ๗ คน เป็นช่างต่อเรือ ๕ คน และช่างเลื่อยไม้ ๒ คน ช่างที่มีประสบการณ์และมีฝีมือดี คือ นายเขียว เหมือนใจ
การต่อเรือ นายเขียว เหมือนใจ และลูกมือช่าง สามารถต่อเรือให้แล้วเสร็จได้ วันละ ๑ ลำ (โดยไม่อุดชัน ตอกหมัน )
ไม้ที่ใช้ในการต่อเรือ เป็นไม้ตะเคียนทองที่หาซื้อมาจากในป่าจังหวัดนครศรีธรรมราช
เครื่องมือที่ใช้ มีทั้งเครื่องมือภูมิปัญญาแบบช่างโบราณรุ่นเก่า เช่น ขวานถาก หรือผึ่ง ค้อน ตาปู สิ่ว ดินสอ แม่แรงเข้าไม้ ลิ่มไม้ ส่วนเครื่องมือสมัยใหม่หรือเครื่องทุ่นแรงที่ใช้ในการต่อเรือ เช่น เลื่อยวงเดือนไฟฟ้า กบไฟฟ้า
ราคาค่าตอบแทนในการต่อเรือ ค่าฝีมือในการต่อเรือเมตรละ ๓๐๐ – ๕๐๐ บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของเรือ (เรือเล็กราคาต่ำ เรือใหญ่ราคาสูง)
ราคาของเรือ ขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบของเรือและการนำไปใช้ เช่น เรือมาดขนาด ๙ เมตร เหมือนกัน หากต่อใช้ในทะเลใน(ทะเลสาบสงขลา หรือทะเลน้ำจืด) ราคาประมาณลำละ ๑๕,๖๐๐ บาท หากต่อใช้ในทะเลนอก(ทะเลอ่าวไทยหรือทะเลน้ำเค็ม) ราคาประมาณลำละ ๒๐,๖๐๐ กว่าบาท
เรือแจว เรือถ่อ หรือเรือใบ(น้ำจืด)ความยาว ๖-๗ เมตร ราคาประมาณลำละ ๘,๐๐๐ บาท
เรือพาย (น้ำจืด) ความยาว ๕-๖ เมตร ราคาประมาณลำละ ๖,๐๐๐ บาท
ราคาของการต่อเรือที่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยูกับขนาด คุณลักษณะ และพื้นที่ของการนำเรือไปใช้งาน
ไม่มีความเห็น