ไข้สมองอักเสบ |
|||
(Japanese encephalitis : JE) |
|||
|
|||
สาเหตุ |
|||
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเจอีที่สมอง โดยมีพาหะสำคัญคือ ยุงรำคาญ ชนิด Culex tritaeniorrhynchus ซึ่งมักแพร่พันธุ์ในนาข้าว โรคนี้เป็นโรคสมองอักเสบ ชนิดที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย |
|||
|
|||
การติดต่อ |
|||
โรคนี้มีหมูเป็นรังโรค เชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนในหมูอย่างรวดเร็วโดยไม่มีอาการป่วย เมื่อยุงรำคาญชนิดที่เป็นพาหะ มากัดและดูดเลือด ไวรัสจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในตัวยุง ซึ่งจะสามารถแพร่โรคไปให้คนหรือสัตว์ที่ถูกกัดได้ เช่น ม้า วัว ควาย แพะ แกะ และนก |
|
||
อาการ |
|||
ผู้ที่ได้รับเชื้ออาจมี หรือไม่มีอาการป่วยก็ได้ ประมาณว่าผู้ติดเชื้อ 300 คน อาจป่วยเป็นโรคนี้ได้ 1 คน ผู้ป่วยมักแสดงอาการหลังได้รับเชื้อ 5-15 วัน ในระยะแรกจะมีไข้สูง อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ซึ่งจะกินเวลา 1-7 วัน (ส่วนใหญ่ 2-3 วัน) หลังจากนั้น จะมีอาการทางสมอง เช่น คอแข็ง สติสัมปชัญญะเลวลง ซึม เพ้อคลั่ง ชักหมดสติ หรือมือสั่น อัมพาต ระยะนี้กินเวลา 3-6 วัน ผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจถึงตายได้ในระยะนี้ (อัตราการตายร้อยละ 15-30 ของผู้ป่วย) หลังจากนั้นไข้จะค่อยๆลดลงสู่ปกติ และอาการทางสมองจะค่อยๆดีขึ้น แต่ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่รอดชีวิตจะยังมีความผิดปกติทางสมองเหลืออยู่ เช่น เกร็ง อัมพาต ชัก ปัญญาอ่อน หงุดหงิดง่าย พูดไม่ชัด เป็นต้น |
|||
|
|||
การรักษา |
|||
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงมุ่งรักษาตามอาการ และป้องกันโรคแทรกซ้อนในระยะที่มีอาการทางสมอง |
|||
|
|||
การป้องกัน |
|||
หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลี ได้ใช้วัคซีนป้องกันโรคนี้ พบว่าผู้ป่วยในประเทศดังกล่าวลดลงอย่างมาก วัคซีนป้องกันโรคที่มีใช้ในประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นวัคซีนที่ผลิตจากไวรัสที่ทำให้ตาย แล้วใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง รวม 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกฉีดห่างกัน 1 สัปดาห์ และครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งที่ 2 นาน 1 ปี |
|||
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตวัคซีนได้ และกระทรวงสาธารณะสุขมีโครงการที่จะฉีดให้เด็กตั้แต่อายุ 1 ปีขึ้นไปทุกคน |
|
||
สำหรับการป้องกันอื่นๆ เช่น กำจัดยุง ป้องกันไม่ให้ยุงกัด และควบคุมการเลี้ยงหมูเป็นไปได้ยาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม มีการทำนา และเลี้ยงหมูอยู่ทั่วไป |
|||
ผู้ที่จะเข้าไปในแหล่งระบาดของโรค และไม่เคยได้รับวัคซีน ควรได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยครั้งหลังควรได้รับก่อนเข้าไปแหล่งระบาด 2 สัปดาห์ |
|||
|
|||
|
|||
ที่มา : www.tm.mahidol.ac.th |
|||
ภาพ : www.thai.cri.cn www.ammeyweb.spaces.live.com |
|||
โรคตับอักเสบ |
|||
สาเหตุ |
|||
เกิดจากเชื้อไวรัสที่ที่พบบ่อย แบ่งได้เป็น ๓ ชนิด คือ ไวรัสตับ อักเสบชนิดเอ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี และไวรัสตับ อักเสบที่ไม่ใช่เอและบี ชนิดอื่นๆ พบน้อย |
|||
ระยะฟักตัว ชนิดเอมีระยะฟักตัวตั้งแต่ ๑๕-๕๐ วัน หรือโดยเฉลี่ยประมาณ ๑ เดือน ชนิดบีมีระยะฟักตัวนานกว่าชนิดเอ คือ ตั้งแต่ ๓ สัปดาห์ จนถึง ๖ เดือน หรือโดยเฉลี่ยประมาณ ๒-๓ เดือน |
|||
อาการ |
|||
เริ่มด้วยอาการไข้ อ่อนเพลียเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ปวดท้องเจ็บเสียดบริเวณชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ และอาการสำคัญที่บ่งว่าเป็นโรคตับ คือ อาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม ซึ่งเรียกกันว่าดีซ่าน |
|||
|
|
||
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอมีชุกชุมในบ้านเรา คนส่วนมากมักไม่แสดงอาการป่วย มีบางรายเท่านั้นที่แสดงอาการ พบบ่อยในเด็กและวัยหนุ่มสาว โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสชนิดเอ มักมีอาการไม่รุนแรง เป็นเร็วหายเร็ว ไม่พบเป็นเรื้อรัง ไม่พบผู้ที่มีเชื้อเป็นพาหะนานๆ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี มักมีอาการโรคช้าๆ แต่รุนแรง และเป็นนานกว่าชนิดเอ ประมาณร้อยละ ๑ ที่มีอาการรุนแรงถึงแก่ความตาย บางรายกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคตับแข็งและมะเร็งตับ ในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ โดยเฉพาะผู้ทีได้รับเชื้อตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่พวกนี้จะเป็นพาหะเรื้อรังที่แพร่เชื้อไปสู่ |
|||
การติดต่อ |
|||
ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ติดต่อทางการกิน เชื้อเพิ่มจำนวนและออกมากับอุจจาระ แปดเปื้อนปนกับน้ำดื่ม น้ำใช้และอาหาร ทำให้เกิดโรคระบาดได้ |
|||
|
|
||
ไวรัสตับอักเสบชนิดไม่ใช่เอและบีเป็นกลุ่มของเชื้อไวรัสที่ยังไม่รู้จักแน่นอน แต่เชื่อว่ามี มากกว่า ๑ ตัว คือ ชนิดที่ |
|||
การป้องกันและควบคุมโรค |
|||
การควบคุมสำหรับไวรัสตับอักเสบชนิดเอ คือ การมีน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาดและการสุขาภิบาลที่ดี นอกจากนี้ก็ควรให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยสำหรับประชาชน เช่น การล้างมือบ่อยๆ ล้างมือก่อนปรุงอาหารและกินอาหาร น้ำดื่มควรใช้น้ำต้ม ผักสดที่เป็นอาหารต้องล้างหลายๆครั้ง อาหารทะเลที่ปรุงดิบๆสุกๆอาจนำเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอได้ ขณะนี้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดเอยังอยู่ในระยะทำการศึกษา |
|||
|
สวัสดีค่ะคุณหมูแฮมพิมาย
จากการอ่านบทความของคุณมีประโยชน์มากเลยเพราะทุกวันนี้ทุกคนต้องรู้เท่าทันโรค ต้องรู้จักวิธีป้องกันและที่สำคัญที่สุดทุกคนต้องรู้จักรักษาสุขภาพนะค่ะ ดิฉันขอแนะนำการวิ่งคือการออกกำลังกายที่ไม่ต้องลงทุอะไร เพียงแต่เราต้องต่อสู้กับใจตนเองเท่านั้นใช่ไหมค่ะ