เมื่อเอ่ยถึง “เภสัชกร” ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีบทบาทในงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค งานบริหารเวชภัณฑ์ แต่ถึงอย่างไรหน้าที่หลักก็ยังเป็นการจัดจ่ายยาและให้คำแนะนำถึงวิธีการใช้ยา และยังจะต้องดูแลให้ครอบคลุมถึงเรื่องอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาด้วย
ฉันเป็นเภสัชกรคนหนึ่งที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก ซึ่งต้องปฏิบัติงานหลาย ๆ ด้านเช่นกัน ทั้งงานบริหารเวชภัณฑ์ งานผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยในก็ไม่ได้แบ่งแยกชัดเจน รวมทั้งการมีโอกาสดูแลผู้ป่วยในคลินิก HIV และวัณโรค แต่สถานที่การทำงานของฉันไม่ได้จำกัดไว้เพียงห้องจ่ายยา บางครั้งห้องจ่ายยาของฉันก็อยู่ที่เตียงผู้ป่วย บางครั้งก็เป็นที่สถานีอนามัย บางครั้งก็อยู่ที่ม้านั่งหน้าห้องเวชปฏิบัติ ซึ่งเป็นพื้นที่ริมทางเดิน โล่งๆ เย็นสบาย อากาศถ่ายเทสะดวก ฉันปฏิบัติงานเช่นนี้ ทำงานแบบนี้ เหมือนเข็มนาฬิกาที่หมุนวนไปมาเหมือนเดิมในแต่ละวัน
เช้าวันหนึ่งฉันต้องมาปฏิบัติเวรนอกเวลา แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเจ้าหน้าที่จากตึกผู้ป่วยแจ้งถึงอาการของผู้ป่วยซึ่งสงสัยว่าอาจจะแพ้ยา เมื่อทราบดังนั้นฉันจึงทำการสืบค้นประวัติการใช้ยาก่อนเข้าไปพบผู้ป่วยที่หอผู้ป่วยใน ก่อนไป ฉันไม่ลืมที่จะหยิบหน้ากากปิดจมูกไปใช้ด้วย เนื่องจากเป็นผู้ป่วยวัณโรค เสมหะบวกเพิ่งเริ่มทานยา CAT I ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อฉันไปถึง ฉันมองเห็นผู้ป่วยหญิงตัวผอม ตัดผมสั้น สวมชุดของโรงพยาบาล สวมผ้าปิดจมูกนั่งอยู่ที่เตียง ข้างๆมีชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างๆ น่าจะเป็นลูกชายนะ
“ สวัสดี ขอแนะนำตัวเองก่อนนะค่ะ ดิฉันเป็นเภสัชกร เป็นไงบ้างค่ะ” หลังจากที่ฉันถาม เธอก็เล่าอาการของตัวเองไปเรื่อย ๆ ฉันสังเกตเห็นผื่นแดงนูน เป็นปื้น ลามติดๆกันตามแขน ขา ลำตัว เธอใช้มือขวาเกาบริเวณแขนซ้ายไปมาท่าทางน่าจะคัน โชคดีที่เล็บถูกตัดจนสั้นไม่งั้นคงมีแผลจากการเกาเพิ่มอีกแน่
“ คันแฮง คุณหมอ มันสิเซาบ่” เธอถามด้วยสีหน้าที่กังวล โดยมีลูกชายอายุประมาณ 7 ขวบ นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ ดิฉันมองที่ผื่นที่แขนเธออีกครั้ง ประเมินตามข้อมูลและอาการแล้ว ก็น่าจะใช่ผื่นแพ้ยา ฉันจึงอธิบายถึงสาเหตุที่อาจจะเป็นไปได้ และการรักษา หลังจากนั้นดิฉันได้ปรึกษาแพทย์และแพทย์ได้พิจารณาหยุดยารักษาวัณโรคทั้งหมด และให้การรักษาตามอาการ 2 วันต่อมา แพทย์ก็อนุญาตให้เธอกลับบ้านได้ โดยลูกชายเธอได้ไปรับยาที่ห้องยา ฉันได้อธิบายเรื่องอาการและการรักษาอีกครั้ง พร้อมกับการนัดตรวจครั้งต่อไป 1 สัปดาห์ผ่านไป เธอกลับมาตามนัดและหายเป็นปกติโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ แพทย์จึงพิจารณา re-challenge ยา โดยเริ่มจาก Ethambutol Rifampicin ฉันอธิบายถึงแผนการรักษาและวิธีการทานยาให้เธอเข้าใจ โดยมีลูกชายช่วยฟังอีกคน 1 สัปดาห์ต่อมา เธอกลับมาตามนัด ฉันทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม และดูเธอสดชื่นขึ้นและไม่แสดงอาการแพ้ใดๆ แพทย์จึงเริ่มให้ยาอีก 2 ตัว คือ Isoniazid Pyrazinamide ตอนนี้เราคิดว่าคนไข้น่าจะแพ้ Isonizid แน่เลยเพราะอุบัดการมากกว่า จึงให้ยาไปและนัดเพียง 4 วัน ฉันอธิบายให้ผู้ป่วยและลูกชายเข้าใจถึงขั้นตอนการักษาอีกครั้ง วันนี้ดูสีหน้าเธอไม่ได้กังวลใดๆและพร้อมจะรักษา หลังจากนั้น 4 วันเธอและลูกชายก็กลับมาโดยที่ไม่มีอาการแพ้ใดๆ แพทย์จึงเริ่มให้ยาเต็มสูตรอีกครั้ง แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะแนะนำเธอให้เฝ้าสังเกตความผิดปกติ ฉันรู้สึกดีใจที่เธอหายเป็นปกติและกลับมาใช้ยารักษาต่อได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันได้รู้ว่ารูปแบบการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาวัณโรค ที่คิดว่ารุนแรงก็ยังไม่ควรด่วนสรุปและรีบเปลี่ยนสูตรยา นอกจากนี้การอธิบายถึงกระบวนการรักษาให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ และการปฏิบัติตัวหากเกิดปัญหาจากการใช้ยาก็จะทำให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือ รวมถึงหากมีญาติที่เข้าใจและคอยดูแลเอาใจใส่จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การรักษาวัณโรคที่น่าจะรักษายากให้สำเร็จได้ง่ายขึ้น
สวัสดีครับท่านเภสัช
คันแฮง คุณหมอ มันสิเซาบ่
ถ้าเป็นบ้านผม เขาพูด .."คันจ้าน หมอเหอ ไม่โร้ตอได มันจิหาย"
เล่าได้น่ารักจัง ค่ะ อิอิ