การทำงานเป็นหมออนามัยแล้ว นอกจากจะทำได้งานที่หลากหลายกับสุขภาพต่อประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่า เป็นงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสภาพ และสิ่งที่สำคัญได้เรียนรู้บริบทและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ด้วย
ทุก ๆ เช้า ตื่นมา ผมรู้สึกดีล่วงหน้าว่า แต่ละวันจะได้เจออะไร อย่างน้อย ก็ต้องเกิดการเรียนรู้ขึ้นในชีวิตของผม
ขอบันทึกไว้ในห้วงความทรงจำ และการเรียนรู้ที่สำคัญในชีวิต กับภาควิถีชีวิตคนทอผ้าขิด...บ้านโนนเสลา
แรงงานทอผ้า
บ้านโนนเสสลา ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ
บริบทพื้นที่
อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีฐานะเป็นเมือง ๆ หนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมีที่ตั้งเมืองอยู่ที่บ้านเมืองเก่า (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเกษตรสมบูรณ์) หลวงไกรสิงหนาทเป็นเจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาไกรสิงหนาท พระยาไกรสิงหนาทผู้นี้ไม่มีบุตรสืบตระกูล จึงได้มีใบบอกแจ้งไปทางกรุงเทพมหานคร ให้ตั้งนายฤๅชาซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถดีให้เป็นเจ้าเมืองแทน โดยได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงไกรสิงหนาทและพระยาไกรสิงหนาทตามลำดับ
ระหว่างที่พระยาไกรสิงหนาทปกครองเมืองอยู่นั้น ปรากฏว่าเมืองภูเขียวมีพลเมืองเพิ่มขึ้น ที่ตั้งเมืองเริ่มคับแคบจึงได้ย้ายเมืองมาอยู่ที่บ้านกุดเชือก (บ้านยาง ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอเกษตรสมบูรณ์ปัจจุบัน)
เมื่อพระยาไกรสิงหนาทชราภาพลงก็ได้มีใบบอกไปยังกรุงเทพมหานคร ให้ตั้งนายบุญมาบุตรชายคนโตของตนเป็นผู้ปกครองแทน ต่อมาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาไกรสิงหนาทแทนบิดา และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาภักดีฤๅชัยจางวาง ซึ่งต่อมาได้ทำการย้ายเมืองจากบ้านกุดเชือกไปอยู่ที่ บ้านโนนเสลา (ปัจจุบันอยู่ในที่ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว) เพราะเห็นว่าเป็นทำเลที่เหมาะสม จึงนับว่า พื้นที่ศึกษามีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของอำเภอภูเขียว
หมู่บ้านโนนทัน-โนนเสลา หมู่ที่ 5, 10, 12 ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เป็นหมู่บ้านทอผ้าขิดระดับประเทศ การเดินทางจากตัว เมืองอำเภอภูเขียว ไปตามเส้นทางสายอำเภอภูเขียว – เกษตรสมบูรณ์ ระยะทาง 7 กิโลเมตร แล้วแยกซ้าย ไปตามทางลาดยางสู่หมู่บ้านบ้านโนนทัน อีก 3 กิโลเมตรจึงจะถึงหมู่บ้าน
งานจักสานเป็นภาพคุ้นตาของผู้ชาย
ข้างบนชาน มีคนสั่งจองไว้แล้วครับ
ไม่อยากคิดว่า ต่อไป 10 ปี จะมีงานจักสานอยู่อีกหรือเปล่า
ถ้าหมดยุคคุณตาแล้ว...จะเข้ายุคพลาสติกไหมครับ
ผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้าน คือ ผ้าขิดทอมือที่มีคุณภาพ โดยการผลิตออกมาเป็น หมอนขิด เสื้อสตรี เสื้อบุรุษ กระโปร่ง ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล ผ้าปูโต๊ะ กล่องใส่กระดาษชำระ กระเป๋า เป็นต้น ย่อมเป็นหลักประกันทั้งคุณภาพและการดำเนินงานของกลุ่มและชุมชนที่สะสมประสบการณ์ ในการทอผ้าและแปรรูปเชิงการค้ามากกว่า 20 ปีมาแล้ว
จำนวนครัวเรือนรวมทั้ง 3 หมู่บ้านเท่ากับ 589 ครัวเรือน (246, 185 และ 158 ครัวเรือน ตามลำดับ) จำนวนประชากร 2,877 คน (1087, 971 และ 819 ครัวเรือน ตามลำดับ) วัยแรงงาน 1,343 คน เฉลี่ยประชากรต่อครัวเรือนเท่ากับ 5 คน
ระดับการศึกษาของ ประชากรวัยแรงงานส่วนใหญ่คือ ป.4 และ ป.6 พื้นที่รวมของทั้ง 3 หมู่บ้านรวมเท่ากับ 6,420 ไร่เป็นพื้นที่ทำการเกษตร 5,980 ไร่ ซึ่งประกอบด้วย ที่นาเป็นส่วนใหญ่มีที่สาธารณะ145 ไร่ และที่ตั้งบ้านเรือน 295 ไร่
สภาพแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ และน้ำเพื่อการเกษตรพอเพียงตลอดปี อาชีพภาคเกษตร ที่สำคัญคือ ทำนา และไร่อ้อย ซึ่งมักประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูงและราคาผลผลิตตกต่ำอยู่เสมอๆ
กิจกรรมนอกภาคเกษตรที่สำคัญคือการทอผ้า ซึ่งเคยเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชนและได้รับการพัฒนาประมาณกว่า 20 ปีที่แล้วให้กลายเป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้ายทอมือที่สำคัญของจังหวัด และประเทศ โดยแทบทุกครัวเรือน ทำกิจกรรมทอผ้าเกือบตลอดปี
แต่ในปัจจุบันมีจำนวนลดลงบ้านตามภาวะเศรษฐกิจ โดยมีครัวเรือนที่ทอผ้าเกือบตลอดปีประมาณ 200 ครัวเรือน นับเป็นกิจกรรมนอกภาคเกษตร ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขยายการผลิตและการตลาดไปสู่คนอื่น ๆ ใน
รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนจากการทอผ้ามากกว่า 6,000 บาท ต่อปี ในปัจจุบันยังมีบางครัวเรือนที่มีรายได้จากการทอผ้ามากกว่า 10,000 บาท แต่มีจำนวนน้อยมาก ด้านครัวเรือนที่มี แรงงานอพยพ รวมทั้ง 3 หมู่บ้าน มีจำนวน 80 ครัวเรือน วัยแรงงานที่อพยพคิดเป็นร้อยละ 9.4 ของประชากรวัยแรงงานทั้งหมดส่วนใหญ่ นิยมไปรับจ้างที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ข้อมูลแรงงานนอกระบบที่เกี่ยวกับผ้าในหมู่บ้าน
แรงงานเพศหญิงประมาณครึ่งต่อครึ่งที่ทำงานเกี่ยวกับผ้า
บางคนก็เป็นอาชีพอย่างผู้สูงอายุ
แต่ส่วนใหญ่จะเลิกฤดูกาลการเกษตรมากกว่า หลังจากดำนา
เกี่ยวข้าว หรือตัดอ้อย เสร็จแล้ว
“กี่” เครื่องมือหลักในการทอผ้า (นางน้อย, อายุ 48 ปี)
“กี่ เป็นเครื่องมือสำคัญในการทอผ้า ส่วนใหญ่จะทำจากไม้ และรุ่นพ่อรุ่นแม่จะทำให้ และส่งต่อมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน กี่ของพี่ได้มาจากพ่อแม่เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน แต่กี่ในสมัยนี้ จะซื้อมา และทำเป็นโครงเหล็ก ประมาณ 3 พันบาทต่อหลัง ตอนนี้พี่มีกี่ไม้จากแม่ให้มา 3 กี่ แล้ว และใช้งานเป็นประจำทั้ง 3 หลัง”
แรงงานที่เกี่ยวกับผ้าในหมู่บ้าน (นางน้อย, อายุ 48 ปี)
“แรงงานส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง อายุตั้งแต่ 35 ปี ขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุที่มีความสามารถทอผ้าไหว เท่าที่ดูตอนนี้ เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยทอผ้า หรือเรียกว่า ทอผ้าไม่เป็นเลยดีกว่า ถ้าหมดรุ่นที่ทอผ้าอยู่นี้แล้ว คงไม่น่าจะมีการทอผ้าทำมือเลยก็ว่าได้”
การจำแนกแรงงานที่เกี่ยวกับงานผ้าในหมู่บ้าน (นางน้อย, อายุ 48 ปี)
“ถ้าประมาณการจำนวนแรงงานที่เกี่ยวกับงานผ้าในหมู่บ้าน สามารถแบ่งได้
- ทอผ้าขิดทำมือที่บ้าน ประมาณ 50 %
- เย็บผ้าโหล, ผ้าชุด รับจากโรงงานมาทำที่บ้าน ประมาณ 30 %
- เย็บผ้าหน้าร้านจำหน่ายในหมู่บ้าน ประมาณ 20 % “
การทอผ้าขิด (ตำขิด) ที่บ้าน และการได้มาของวัสดุทอผ้า
(นางน้อย, อายุ 48 ปี)
งานการทอผ้าขิดที่บ้าน เป็นแรงงานส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ในหมู่บ้านมีประมาณ 80-120 คน เป็นงานที่สั่งสมประสบการณ์จากรุ่นแม่ และรุ่นยาย เพราะเป็นงานที่ใช้เวลา และฝีมือ และต้องมี “กี่” และต้องมีความรู้เรื่องการสร้างลายผ้าขิด “เก็บขิด”
งานทอผ้าขิดเน้นส่งขายจังหวัดใกล้เคียง อย่าง นครราชสีมา,ขอนแก่น,กรุงเทพฯ,สกลนคร เชียงใหม่ และชัยภูมิ ที่มียอดจำหน่ายผืนผ้าที่ยังไม่แปรรูปเฉลี่ยถึงวันละ 30 เมตร โดยการผลิตออกมาเป็น หมอนขิด เสื้อสตรี เสื้อบุรุษ กระโปร่ง ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล ผ้าปูโต๊ะ กล่องใส่กระดาษชำระ กระเป๋า เป็นต้น ชาวบ้านในพื้นที่ก็มีรายได้เสริมจากการทอผ้าขิดหลังฤดูการทำนาทำไร่
แรงงานส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง อายุตั้งแต่ 35 ปี ขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุที่มีความสามารถทอผ้าไหว ส่วนใหญ่ใช้เวลาหลังจากการทำงานภาคเกษตรกรรมเสร็จสิ้นแล้ว และมีส่วนหนึ่งที่ทำเป็นประจำ หรืออาชีพหลักเลย ด้วยเหตุว่า ทำงานภาคการเกษตรไม่ไหวแล้ว มอบหมายหน้าที่แรงงานส่วนนี้เป็นแรงงานเพศชาย และการมีผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และดูแลหลานแรกเกิด ซึ่งทำให้อยู่บ้านเป็นหลัก และสามารถปลีกเวลามาทอผ้าขิด และสามารถผันเป็นเงินมาจุนเจือครอบครัวได้
“แรงงานผู้หญิงบ้านเรา จะมีฝีมือทอผ้าขิดในสายเลือดทุกคน การทอผ้าขิดทำเฉพาะหมู่บ้านของเรา เพราะหมู่บ้านเราเป็นต้นตำรับ และคนที่มาซื้อผ้าขิด ก็ต้องการซื้อผ้าขิดจากหมู่บ้านของเรา” (ผู้ใหญ่บ้าน)
“ขั้นตอนการทอยุ่งยาก ทอได้ช้า ราคาถูก แรงงานจึงไปทำงานอื่นที่มีรายได้ดีกว่า ทำให้ผู้ทอผ้าลายขิดลดจำนวนลง และอาจจะสูญหายไปจากหมู่บ้าน” (ผู้ใหญ่บ้าน)
“มีการรวบรวมสมาชิกจัดตั้งกลุ่มทอผ้าขิด กรมการพัฒนาชุมชน จึงได้จัดสรรงบประมาณในการสนับสนุนฝึกอบรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าขิด ในปี พ.ศ.2542 เป็นเงินงบประมาณ 20,000 บาท ต่อมาในปี พ.ศ.2544 ได้มีการประชาคมหมู่บ้าน ตำบลคัดเลือกผ้าลายขิดเป็น เป็นผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” (ผู้ใหญ่บ้าน)
“หมดรุ่นทอผ้ารุ่นนี้ รุ่นลูกหลานคงไม่มีการทอผ้าแล้ว เพราะคิดว่างานทอผ้าลำบาก เงินน้อย ตอนนี้คนส่วนใหญ่ นิยมส่งลูกหลานเรียน เขาเรียนจบแล้วคงไม่มาทอผ้าหรอก”
“แรงงานส่วนใหญ่ ถ้าช่วงทำนา ทำอ้อย ก็จะหยุดทำ”
“คนแก่ จะทอผ้าอยู่บ้านทุกวัน”
“ มีการได้มาของวัสดุอุปกรณ์มา 2 ทาง คือ
หนึ่ง รับด้าย รับลายมา จากเถ้าแก่ ที่หน้าร้านจำหน่าย
สอง ซื้อด้าย แล้วสร้างลาย ตามที่เขากำหนดจะรับซื้อ
โดยการซื้อด้าย แล้วนำมาทอเอง จะได้เงินมากกว่ารับด้ายมา สมมติว่า รับด้ายมา ทอแล้ว ได้เมตรละ 500 บาท ถ้าซื้อด้ายมาเอง ก็ได้ จำนวน 600 บาท “
รายได้ของแรงงานทอผ้าขิด
(นางน้อย, อายุ 48 ปี)
“ ถ้าคิดเป็นวัน ๆ จะมีรายได้ประมาณ 50-150 บาท ขึ้นอยู่กับการมีเวลาทอผ้า งานภายในบ้าน ความสามารถ ความขยันทำทั้งคืนทั้งวัน และสภาพวัย สุขภาพ หรืออายุ “
“ส่วนใหญ่จะนำผ้าที่ทอผ้าได้มาวัดขาย เมื่อได้ขนาดที่ผู้ทอต้องการ เถ้าแก่บางรายก็มารับงานถึงบ้าน ประมาณ 10-15 วัน ได้เงินประมาณ 1,500-3,000 บาท ต่อครั้ง”
“งานทอผ้าขิด เริ่มจะลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อน เพราะเศรษฐกิจบ้านเราไม่ดี แบบเสื้อผ้า ของที่ระลึก ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป คนก็อาจเริ่มเบื่อแบบ หรือลาย ของบ้านเราก็ได้”
**************
ยังภาค 2 ต่อครับ
แวะมาเรียนรู้วิถึคนทอผ้าขิดบ้านโนนเสลา
ข้อมูลดีมากเลย
ขอเจริญพร
กราบนมัสการ พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
แล้วรออ่านตอนต่อ ๆ ไป นะครับ