ทฤษฏีการพัฒนาการเมือง


ทฤษฎีการพัฒนาการเมือง

 

แนวความคิดทางการเมืองที่ใช้อ้างกันมากเพื่อการวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางการเมืองในประเทศด้อยพัฒนา  คือ  แนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง  (Political  Development)  หรือนักวิชาการบางท่านก็ใช้คำว่า  การทำให้ทันสมัยทางการเมือง  (Political  Modernization)  บางท่านก็ใช้ปนเปกันทั้งสองคำ  มูลเหตุสำคัญที่ได้มีการใช้ศัพท์ดังกล่าววิเคราะห์และอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองนั้น  ก็เนื่องจากว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง  ประเทศต่าง ๆ  ซึ่งเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกได้รับเอกราช  ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ก็ประสบปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ  มากมาย  เกิดจากการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งอำนาจกันระหว่างเผ่าพันธ์หรือกลุ่มการเมืองต่าง ๆ  การล้มลุกคลุกคลานของระบบรัฐสภาในระบบประชาธิปไตย  พร้อมกับการเข้ายึดอำนาจของทหารในรูปของการปฏิวัติรัฐประหาร  ปรากฎการณ์ทางการเมืองดังกล่าวนั้น  ย่อมมีการวิเคราะห์หาสาเหตุและนักวิชาการแขนงต่าง ๆ  ก็ใช้วิชาที่ตนถนัดเป็นตัวแปรสำคัญในการเสาะหาสาเหตุ

นักเศรษฐศาสตร์ก็มองการไร้เสถียรภาพต่าง ๆ  ในประเทศเหล่านี้ด้วยการเน้นที่ตัวแปรทางเศรษฐกิจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากการด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจ  ปัญหาความยากจนและการขาดเทคโนโลยีในการผลิต  ทำให้สังคมประสบปัญหาต่าง ๆ  ยากที่จะเกิดเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นได้  ความเชื่อดังกล่าวนี้ยังครอบคลุมไปถึงสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สองด้วยว่าเกิดจากปัญหาหลัก  คือ ปัญหาเศรษฐกิจ

นักการศึกษาก็มองดูการล้มเหลวของการปกครองแบบประชาธิปไตยว่า  มีสาเหตุมาจากการขาดการศึกษา  ความโง่เขลาเบาปัญญาของประชากร  และการขาดความรู้เรื่องการเมืองและสังคมซึ่งทำให้ไม่สามารถจรรโลงระบบการเมืองการปกครองแบบอารยะได้

นักสังคมวิทยาก็มองปัญหาดังกล่าวด้วยแว่นสีของตนว่า  เกิดจากโครงสร้างทางสังคม  ช่องว่างระหว่างความรวยความจน  โครงสร้างอำนาจอันสืบเนื่องมาจากจารีตประเพณี  ค่านิยมแบบถืออำนาจและบุคลิกภาพแบบเผด็จการ  ฯลฯ

นักรัฐศาสตร์นั้น  ถ้าจะมองดูสภาพดังกล่าวมาว่า  มีสาเหตุมาจากรัฐธรรมนูญก็พูดไม่สะดวกใจ  เพราะหลายประเทศที่ประสบปัญหาการไร้เสถียรภาพทางการเมือง  มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องรัดกุมทุกประการมีการสร้างสถาบันทางนิติบัญญัติ  บริหาร  ตุลาการ  การใช้หลักการถ่วงดุลย์อำนาจ  การตรวจสอบซึ่งกันและกันของสถาบันต่าง ๆ  แต่ระบบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้  ผลสุดท้ายก็พยายามมองดูว่าปรากฎการณ์ความล้มเหลวของการสร้างระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาเกิดจากการขาดการพัฒนาการเมือง  ซึ่งเข้าใจว่าศัพท์คำว่า  การพัฒนาการเมือง  นี้  คงเลียนแบบมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ  แต่การใช้ศัพท์ดังกล่าวก็ตามมาด้วยคำถามว่า  การพัฒนาการเมืองคืออะไร  ซึ่งนักรัฐศาสตร์ในแขนงพฤติกรรมศาสตร์ต่างก็ตอบไปตามความถนัด  ความเชื่อและความเข้าใจของตน  บางคนก็พยายามแยกระหว่างคำว่า  การพัฒนาการเมืองและการทำให้ทันสมัยทางการเมือง  จนเกิดคำจำกัดความในแนวความคิดดังกล่าวมากมาย  ซึ่งจะกล่าวต่อไป

นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ได้เริ่มพูดถึงการพัฒนาการเมืองหรือทฤษฎีพัฒนาการเมือง  ตั้งแต่ต้นปี  ค.ศ.  1960  โดยมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์การเมืองของประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตก  และเพิ่งจะได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  หนังสือที่เกี่ยวกับการเมืองในประเทศเหล่านี้  ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นประเทศในโลกที่สาม  คือ  The  Politics  of  the  Developing  Areas  โดยมี  Gabriel   A. Almond  และ  James  S.  Coleman  เป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยทฤษฎีหยิบยืมมาจากสำนักโครงสร้างและหน้าที่  (Structural  functional  Approach)  ของมนุษยวิทยา  จากนั้นก็มีตัวอย่างการเมืองของภาคต่าง ๆ  ในโลก  เช่น  เอเซียตะวันออกเฉียงใต้  เอเซียใต้  ลาตินอเมริกัน  ฯลฯ  โดยใช้กรอบวิเคราะห์  (Analytical  Frame  Work)  อันเดียวกัน  เจตนาก็เพื่อจะเปรียบเทียบโดยใช้กรอบวิเคราะห์หรือกรอบทฤษฎีเดียวกัน  ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการติดกับรูปแบบ  เช่น  ประชาธิปไตย  สังคมนิยม  ฯลฯ อย่างไรก็ดี  หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้เสนอทฤษฎีการพัฒนาการเมือง  เพียงแต่พยายามวิเคราะห์ศึกษาการเมืองในประเทศกำลังพัฒนาโดยเลี่ยงการใช้รูปแบบการเมืองในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นประชาธิปไตย  ซึ่งเป็นแนวการศึกษาที่นิยมทำกัน  โดยใช้หลักประเทศประชาธิปไตยตะวันตก  เป็นหลักในการเปรียบเทียบ

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่บุกเบิกเกี่ยวกับการเมืองประเทศกำลังพัฒนา และการเน้นการศึกษาแบบทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่และแนววิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์  ต่อมาได้มีการออกหนังสือทำนองนี้ออกมาเป็นชุด  โดยมีบรรณาธิการสามคน  คือ  Gabriel  Almond,  James  S.  Coleman  และ  Lucian  Pye  ใน  Little,  Brown  Series  in  comparative  Politics  ซึ่งมีจุดเน้นต่าง ๆ  เช่น  the  Civic  Culture,  Politics  and   communication,  Aspects  of  Political  Development,  Comparative  Politics  :  A  Developmental  Approach  etc.

ซึ่งหนังสือที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการพยายามวิเคราะห์การเมืองแบบมองที่โครงสร้างและหน้าที่โดยดูการทำงานของส่วนต่าง ๆ  ของระบบการเมือง  ในลักษณะ  Comparative  Politics  หรือการเปรียบเทียบระบบการเมืองต่าง ๆ  ของประเทศกำลังพัฒนา  โดยไม่ติดที่รูปแบบ  แต่ที่มีการพูดถึงแนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง  ก็คือหนังสือของ  Lucian  Pye  ชื่อ  Aspects  of  Political  Development  ซึ่ง  Pye  ได้พยายามสรุปแนวความคิดต่าง  ๆ  เกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองซึ่งมีอยู่  10  แนวความคิด  (ซึ่งได้เก็บความตามที่จะกล่าวข้างล่างนี้)  โดยการสังเคราะห์และออกมาในรูปของ  Development  Syndrome  หรือพหุภาพแห่งการพัฒนา

แนวความคิดต่าง ๆ  10  แนว  และพหุภาพแห่งการพัฒนามีดังนี้คือ

1.              การพัฒนาการเมือง  คือ  รากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ  (Political  Development  as  the  Political  Prerequisit  of  Economic  Development)  เมื่อมีการสนใจเกี่ยวกับปัญหาความเจริญทางเศรษฐกิจและมีความจำเป็นที่จะแปรรูปของเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง  เพื่อเป็นเศรษฐกิจที่เจริญได้ในระดับสม่ำเสมอ  นักเศรษฐศาสตร์ก็กล่าวโดยพลันว่าสภาพทางการเมืองและสังคมจะมีบทบาทอย่างแน่วแน่ในการขัดขวางหรือเอื้ออำนวยต่อการเพิ่มขึ้นในรายได้เฉลี่ยต่อหัว  และดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะคิดว่า  การพัฒนาการเมืองคือสภาพของระบบการเมืองซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ

              อย่างไรก็ดี  เมื่อมาใช้ในการวิจัย  คำจำกัดความการพัฒนาการเมืองดังกล่าวมีลักษณะในทางลบ  เพราะว่าเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดอย่างชัดแจ้งว่า  ระบบการเมืองได้ขัดขวางความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง  แต่เป็นการยากที่จะพูดว่า  ระบบการเมืองได้ช่วยให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างไร  เพราะตามประวัติศาสตร์นั้น  ความเจริญทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นในระบบการเมืองหลายระบบและด้วยนโยบายที่ต่างกัน  อันนี้นำไปสู่การคัดค้านต่อคำจำกัดความพัฒนาการเมืองดังกล่าว  เนื่องจากว่า  คำจำกัดความนั้นไม่ได้มีทฤษฎีร่วมกันเพราะในบางกรณีจะมีความหมายเพียงว่า  รัฐบาลได้ปฏิบัติตามนโยบายเศรษฐกิจที่ถูกต้องหรือไม่เท่านั้น  ส่วนในสถานการณ์อื่นนั้นอาจจะเกี่ยวพันถึงการพิจารณาองค์การขั้นมูลฐานของรัฐและการปฏิบัติของสังคมทั้งมวล  ดังนั้นปัญหาเรื่องการพัฒนาการเมืองจึงแตกต่างกันตามความแตกต่างกันทางปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

              ความลำบากขั้นพื้นฐานอีกประการหนึ่งของคำจำกัดความพัฒนาการเมืองที่กล่าวมาเบื้องต้นจะปรากฎภาพชัดยิ่งขึ้น  จากข้อเท็จจริงที่ว่า  ความหวังของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในประเทศด้อยพัฒนามีลักษณะมืดมัว  และในหลายประเทศความเจริญทางเศรษฐกิจ  (โดยไม่จำต้องพูดถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม)  ไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นในชั่วอายุของเรา  ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในทางการเมืองถึงขนาดที่เรียกว่า  อาจจะควรถือว่ามีการพัฒนาการเมืองในสังคมเหล่านั้นตามคำจำกัดความอื่น ๆ 

              ประการสุดท้าย ยังมีการคัดค้านต่อไปว่า  ในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายประชาชนมีความกังวลมากไปกว่าเพียงความก้าวหน้าทางวัตถุเท่านั้น  กล่าวคือ  ประเทศเหล่านี้คำนึงถึงการพัฒนาการเมืองโดยอาจจะไม่คำนึงผลการพัฒนาทางเศรษฐกิจ  เพราะฉะนั้น  ความพยายามเชื่อมโยงการพัฒนาการเมืองกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวจะเป็นการมองข้ามสิ่งสำคัญอย่างอื่นในประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้

2.              การพัฒนาการเมือง  คือ  การเมืองในสังคมอุตสาหกรรม  (Political  Development  as  the  Politics  Typical  of  Industrial  Societies)  คำจำกัดความอันที่สองของการพัฒนาการเมือง  ซึ่งมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจเป็นความเห็นที่มีลักษณะเป็นนามธรรมของการเมืองในสังคมที่มีความเจริญอย่างมากในทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม  ข้อสันนิษฐานก็ถือว่า  ชีวิตในสังคมอุตสาหกรรมนั้นจะนำไปสู่ชีวิตทางการเมืองแบบหนึ่งตามความหมายนี้  สังคมอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม  มีมาตรฐานพฤติกรรมทางการเมืองและการปฏิบัติซึ่งเป็นลักษณะของการพัฒนาการเมืองและเป็นจุดมุ่งหมายบั้นปลายของการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด

              ดังนั้น  คุณสมบัติเฉพาะของการพัฒนาการเมืองกลายเป็นรูปแบบซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลที่  “มีเหตุผลและรับผิดชอบ”  กล่าวคือ  มีการหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไร้ความคิดซึ่งคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่สำคัญในสังคม  มีข้อจำกัดต่ออธิปไตยทางการเมือง  การเทิดทูนคุณค่าของแบบแผนทางการปกครองอย่างมีระเบียบ  การยอมรับว่าการเมืองเป็นวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้น  และไม่ใช่จุดบั้นปลายในตัวของมันเอง  การย้ำของโครงการสวัสดิการและประการสุดท้าย  คือ  การยอมรับการมีส่วนร่วมในทางการเมืองรูปใดรูปหนึ่ง

3.              การพัฒนาการเมือง  คือ  ความจำเริญทางการเมือง  (Political  Development  as  Political  Modernization)  ความคิดที่ว่า  การพัฒนาการเมืองเป็นลักษณะการเมือง  ในอุดมคติในแบบสังคมอุตสาหกรรมมีความหมายเดียวกับความจำเริญทางการเมืองที่มีประเทศอุตสาหกรรมเป็นแบบอย่างของชีวิตทางเศรฐกิจและสังคม  และคนจำนวนมากคาดหวังว่า  ในขอบข่ายชีวิตทางการเมืองก็มีลักษณะเดียวกัน  อย่างไรก็ดีการยอมรับความคิดอันนี้โดยง่ายย่อมจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้เชื่อถือในความเท่าเทียมกันของวัฒนธรรม  และคำถามสำคัญก็คือการที่ถือว่าการปฏิบัติของสังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมตะวันตกเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการเมืองทุกระบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

              ถึงแม้ว่าจะยอมรับว่า  การคัดค้านนี้เป็นสิ่งที่น่ารับฟัง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า  ความเชื่อดังกล่าวนั้นเป็นแฟชั่นประจำสมัย  อย่างไรก็ตามความจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก  คือ  ประเพณีและปทัสถานทางสังคม  ซึ่งแผ่กระจายไปทั่วโลกและซึ่งคนทั่ว ๆ ไป  รู้สึกว่า  ควรที่สังคมที่มีความเคารพตัวเองจะรับประเพณีและปทัสถานนี้มาตรฐานดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในสังคมอุตสาหกรรมและเกิดจากความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  และในปัจจุบันมาตรฐานเหล่านี้ได้คงอยู่ตัวแล้ว  ตัวอย่างเช่น  การมีส่วนร่วมในทางการเมืองเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริง  ในทางสังคมวิทยาและชีวิตในสังคมอุตสาหกรรม  แต่ขณะเดียวกันก็ถูกถือว่าเป็นสิทธิอันเด็ดขาด  ในความเห็นของโลกปัจจุบันนอกจากนี้หลักการอื่น ๆ  เช่น  การเรียกร้องให้มีกฎหมายที่ใช้เป็นหลักสากล  การเคารพในความสามารถยิ่งกว่าชาติกำเนิด  และความคิดทั่วไปเกี่ยวกับความยุติธรรมและสิทธิของประชาชนดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสิ่งซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมใด ๆ  และกลายเป็นมาตรฐานสากลของชีวิตการเมืองยุคใหม่

              คำถามที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ  อะไรคือรูปแบบ  และอะไรคือเนื้อหาของคำจำกัดความการพัฒนาการเมือง  การทดสอบการพัฒนาอยู่ที่ประเทศสามารถจะมีสิ่งซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างของวัฒนธรรมแบบใหม่  เช่น  พรรคการเมือง  การปกครองและสภานิติบัญญัติที่มีเหตุผลและเพื่อประชาชน  เช่นนั้นหรือ    ถ้าเป็นเช่นนั้น  ความรู้สึกเหนือกว่าในเชื้อชาติก็จะเป็นสิ่งซึ่งตรงประเด็นในเรื่องนี้  เพราะว่าสถาบันเหล่านี้มีลักษณะเป็นสถาบันของประเทศตะวันตก  ถ้าในทางตรงกันข้าม  ความสำคัญอยู่ที่การกระทำหน้าที่อันสำคัญของระบบการเมือง  ก็จะเกิดอีกอันหนึ่งเพราะระบบการเมืองต่าง ๆ  นั้นในทางประวัติศาสตร์ได้กระทำหน้าที่อันสำคัญที่คล้ายคลึงกับสถาบันใหม่หรือสถาบันตะวันตก  (ซึ่งจะเป็นรูปใดก็ตาม)  ดังนั้น  อะไรจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า  อันไหนพัฒนากว่า  ปัญหาที่เห็นได้ชัดคือการพัฒนาการเมือง  เมื่อให้คำจำกัดความว่า  คือ  การจำเริญทางการเมืองนั้นจะเกิดปัญหาเรื่องการแยกแยะว่าอะไรเป็นของตะวันตกและอะไรเป็นของสมัยใหม่  ถ้าจะพยายามหาความแตกต่างดังกล่าวก็คงต้องใช้ข้อพิจารณาอื่น ๆ  มาประกอบ

4.              การพัฒนาการเมือง  คือ  ระบบการเกิดรัฐชาติ  (Political  Development  as  the  Operation  of  a  Nation – State)  ความคิดอันนี้เกิดจากความเห็นที่ว่า  การพัฒนาการเมืองนั้นเกิดจากการจัดตั้งของชีวิตทางการเมืองและการปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองที่คล้องจองกับมาตรฐานของรัฐบาลในยุคใหม่  ในความเห็นนี้มีข้อสันนิษฐานว่า  จากประวัติศาสตร์มีระบบการเมืองหลายระบบและทุกสั่งคมมีระบบการเมืองของตน  แต่เมื่อเกิดรัฐชาติยุคใหม่  คุณลักษณะบางประการทางการเมืองของระบบรัฐชาติก็ตามมา  ดังนั้น  สังคมใดที่ต้องการเป็นรัฐยุคใหม่  สถาบันทางการเมืองของสังคมนั้นจะต้องปรับตัวเข้ากับคุณลักษณะเหล่านี้  การเมืองของจักรวรรดิ์ของสังคมชนเผ่าและเชื้อชาติหรือของอาณานิคมจะต้องสลายตัวไปเพื่อกลายเป็นระบบการเมืองในรัฐชาติ  ซึ่งจะดำเนินไปอย่างสัมฤทธิ์ผลร่วมกับรัฐชาติอื่น ๆ 

              การพัฒนาการเมืองจึงกลายเป็นวิถีทางซึ่งสังคมที่เป็นรัฐชาติในรูปแบบและโดยความเอื้อเฟื้อของนานาชาติ  ได้กลายเป็นรัฐชาติที่แท้จริง  กล่าวเฉพาะเจาะจงลงไปคือความสามารถที่จะดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคมในระดับหนึ่ง  ความสามารถที่จะใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม  และความสามารถที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันระหว่างประเทศ  ดังนั้น  การทดสอบการพัฒนาการเมืองก็กลายเป็น  1.  การสร้างสถาบันทางสังคมซึ่งเป็นโครงสร้างที่จำเป็นของรัฐชาติ  2.  การแสดงออกที่อยู่ในขอบข่ายของชีวิตของการเมือง  ในรูปแบบชาตินิยม  กล่าวคือ  การพัฒนาการเมือง  คือ  การเมืองชองชาตินิยมในขอบข่ายของสถาบันแห่งรัฐ

              มีข้อสำคัญที่จะต้องเน้นว่า  จากความคิดดังกล่าว  ความรู้สึกชาตินิยมเป็นเงื่อนไขที่เพียงพอต่อการพัฒนาการเมือง  การพัฒนานั้นคลุมไปถึงการถึงความรู้สึกเรื่องชาตินิยมซึ่งกระจัดกระจายไปสู่สปิริตความเป็นประชากรของชาติ  และสำคัญเท่า ๆ  กัน  คือ  การสร้างสถาบันแห่งรัฐที่สามารถจะแปรรูปความรู้สึกชาตินิยมและความรู้สึกเรื่องการเป็นประชาชนนอกเป็นรูปนโยบายและโครงการ  กล่าวโดยย่อ  การพัฒนาการเมืองคือการสร้างชาติ

5.              การพัฒนาการเมือง  คือ  การพัฒนาการบริหารและกฎหมาย  (Political  Development  as  Administrative  and  Legal  Development)  ถ้าเราแยกการสร้างชาติออกเป็นการสร้างสถาบันและการพัฒนาความเป็นพลเมือง  เราก็จะมีความคิดทางการพัฒนาการเมืองสองแนว  ความจริงแล้ว  ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองคือการสร้างองค์การมีประวัติมาช้านานซึ่งเป็นพื้นฐานที่ชาญฉลาดของระบบอาณานิคม  เพราะว่าเราได้สังเกตเห็นแล้วในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับอารยธรรมตะวันตกที่มีต่อโลก  คือ  ความเชื่อที่ว่าในการสร้างสังคมทางการเมืองนั้นก่อนอื่นจำเป็นต้องมีความเป็นระเบียบทางกฎหมายและจากนั้นความเป็นระเบียบทางการบริหาร

              ประเพณีดังกล่าวได้สนับสนุนทฤษฎีปัจจุบันที่ว่า  การสร้างระบบองค์การธิปไตย  (Bureaucracy)  อย่างสัมฤทธิผลเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา  ในความเห็นนี้  การพัฒนาการบริหารมีความเกี่ยวพันกับการมีเหตุผล  การเสริมสร้างความคิดทางโลกธรรมและทางกฎหมาย  และการมุ่งเข็มความรู้ความชำนาญทางเทคนิคไปสู่สังคมมนุษย์

              แน่ล่ะ  ไม่มีรัฐใดจะอ้างว่า  “พัฒนา”  ถ้าขาดความสามารถที่จะจัดการเรื่องสาธารณะอย่างได้ผล  และเมื่อใดที่รัฐใหม่มีการบริหารที่ได้ผล  ปัญหาต่าง ๆ  ก็มักจะอยู่ในวิสัยที่แก้ไขได้  ในทางตรงกันข้าม  การบริหารแต่อย่างเดียวไม่เพียงพอ   และความจริงแล้ว  ถ้าหากมีการบริหารมากเกินไป  อาจก่อให้เกิดความไม่สมดุลในสังคมซึ่งอาจขัดต่อการพัฒนาทางการเมือง  ความจริงเรื่องการพัฒนาการเมืองที่มุ่งที่เรื่องการบริหารนั้น  มองข้ามปัญหากรฝึกฝนพลเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน  ซึ่งทั้งสองสิ่งนั้นเป็นแง่สำคัญของการพัฒนาการเมือง

6.              การพัฒนาการเมืองคือการระดมพลและการมีส่วนร่วมทางการเมือง  (Political  Development  as  Mass  Mobilization  and  Participation)  การพัฒนาการเมืองอีกแง่หนึ่งเกี่ยวเนื่องกับบทบาทของประชาชนและมาตรฐานใหม่ของความภักดีและการมีส่วนเกี่ยวข้อง  เป็นที่เข้าใจได้ว่า  ในประเทศอาณานิคมก่อน ๆ  มีความคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาการเมืองคือความตื่นตัวทางการเมืองแบบหนึ่ง  ซึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกลายเป็นประชาชนผู้มีความกระตือรือล้นและมีความผูกพันต่อการเมือง

              ในบางประเทศความเชื่ออันนี้มีมากจนกระทั่งถึงขนาดที่ว่า  การเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วมนั้นกลายเป็นจุดหมายปลายทางของมันเอง  และทั้งผู้นำและประชาชนเชื่อว่าความจำเริญของชาติอยู่ที่ความถี่ของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน  ในทางตรงกันข้ามประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีระเบียบได้ผล  อาจรู้สึกไม่พอใจ  ถ้าเขารู้สึกว่า  ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมากนั้นกำลังประสบ  “การพัฒนา”  อย่างยิ่งใหญ่

              ตามความคิดเห็นส่วนมาก  การพัฒนาการเมืองนั้นจะต้องมีการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน  แต่มีจุดที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาคือการแยกแยะเงื่อนไขของการขยายนี้  ในทางประวัติศาสตร์ตะวันตก  การพัฒนาการเมืองอันนี้ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับสิทธิการลงคะแนนเสียงและการนำเอาชนกลุ่มใหญ่เข้ามาสู่ในวิถีทางการเมือง  การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นหมายถึงการกระจายในการตัดสินนโยบายและการมีส่วนร่วมนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อการเลือกและการตัดสิน  อย่างไรก็ตามในรัฐใหม่บางรัฐการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ได้เกิดพร้อมกับการมีสิทธิการลงคะแนนเสียง  แต่หากเป็นการตอบโต้ของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อการชักจูงของผู้นำ  ควรยอมรับว่า  แม้การมีส่วนร่วมในขอบเขตที่แคบดังกล่าวนี้  ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างชาติ  เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความภักดีอันใหม่  และความรู้สึกใหม่ในเอกลักษณ์ของชาติ

              ดังนั้น  ถึงแม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น  เป็นแง่ของการพัฒนาการเมือง  แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย  เช่น อันตรายที่เกิดจากอารมณ์รุนแรง  หรือผู้ก่อกวนทางการเมือง  ซึ่งทั้งสองอันนี้อาจจะทำลายล้างความมั่นคงของสังคม  แน่ละ  ปัญหาก็อยู่ที่การพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างความรู้สึกของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม  ซึ่งเป็นปัญหาขั้นมูลฐานของระบบประชาธิปไตย

7.              การพัฒนาการเมือง  คือ  การสร้างประชาธิปไตย  (Political  Development  as  the  Building  of  Democracy)  ความคิดอันนี้   คือ  การพัฒนาการเมืองเหมือนหรือควรเหมือนกับการสร้างสถาบันและการปฏิบัติประชาธิปไตย  แนวความคิดนี้มีข้อสันนิษฐานว่ารูปแบบของการพัฒนาการเมืองมีอยู่รูปเดียว  คือ  การสร้างประชาธิปไตย

การมองการพัฒนาการเมืองว่า  คือ  ระบบประชาธิปไตยก็ได้เกิดการต่อต้านแนวความคิดนี้  โดยเฉพาะในหมู่นักสังคมศาสตร์  ที่พยายามจะทำให้สังคมศาสตร์เป็นศาสตร์ปราศจากคุณค่านิยมและมุ่งที่จะวิเคราะห์การเมืองอย่างวัตถุวิสัย

นอกจากนี้  เพื่อสะดวกในการปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ  คนอเมริกันยังมีเหตุผล  (แม้จะเป็นเหตุผลที่ผิด)  ที่จะเชื่อว่า  จะเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดกับประเทศด้อยพัฒนาในเรื่องการ  “พัฒนา”  มากกว่าเรื่อง  “ประชาธิปไตย”  ข้อถกเถียงก็คือ  ประชาธิปไตยเป็นคำซึ่งเต็มไปด้วยคุณค่านิยม  ส่วนการพัฒนานั้นเป็นกลาง  การพยายามใช้ประชาธิปไตยเพื่อการพัฒนาการเมืองจึงอาจจะถูกเข้าใจว่า  เป็นการพยายามเอาคุณค่านิยมอเมริกัน  หรือตะวันตกมายัดใส่

8.              การพัฒนาการเมืองคือเสถียรภาพการเมืองและการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ  (Political  Development  as Stability  and  Orderly  Change)  คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าประชาธิปไตยไม่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้น  มักจะมีแนวความคิดและมองการพัฒนาในแง่ของความเป็นระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคม  ผู้มีความเชื่อทางการเมืองนี้มักเชื่อว่า  การพัฒนาการเมืองคือความมีเสถียรภาพทางการเมือง  และมีความสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ  เสถียรภาพซึ่งเป็นเพียงการหยุดนิ่ง  และการสนับสนุนสภาพคงที่นั้นไม่ใช่การพัฒนา  อย่างไรก็ดี  เสถียรภาพก็มีความผูกพันกับการพัฒนาในแง่ที่ว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคมมักขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมซึ่งความไม่แน่นอนได้ถูกลดลงและการวางแผนได้ตั้งอยู่บนรากฐานของการคาดคะเนอย่างเป็นไปได้

              ความคิดการพัฒนานี้จะถูกจำกัดอยู่ในขอบข่ายของการเมือง  เพราะว่า  สังคมซึ่งวิถีทางการเมืองสามารถที่จะควบคุมและอำนวยการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมีเหตุผล  ไม่เพียงแต่เป็นการตอบโต้ต่อมันก็ย่อมจะพัฒนากว่าสังคม  ซึ่งวิถีทางการเมืองตกเป็นเหยื่อของ  “พลัง”  สังคม  เศรษฐกิจ  ซึ่งควบคุมชะตาชีวิตของประชาชน  ดังนั้นเช่นเดียวกับที่มีการอ้างว่า ในสังคมใหม่นั้น  บังคับธรรมชาติเพื่อจุดประสงค์ของเขา  ส่วนสังคมเก่าเพียงปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ  เราอาจถือว่าจะมีการพัฒนาการเมืองขึ้นอยู่กับสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงสังคมหรือถูกควบคุมโดยสังคม  และแน่ละจุดเริ่มต้นของกรควบคุมพลังทางสังคม  คือ  การสามารถรักษาความเป็นระเบียบทางสังคม  ปัญหาของความคิดของการพัฒนาอันนี้  ก็คือ  ไม่มีคำตอบว่าความเป็นระเบียบจะต้องมีขนาดใดจึงจะพอเพียงหรือเป็นสิ่งที่พึงประสงค์และเพื่อจุดประสงค์อันใด  สำหรับการเปลี่ยนแปลงยังมีปัญหาต่อไปว่า  การพยายามเอาเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงมารวมกันจะไม่เป็นความฝันของชนชั้นกลางหรือของสังคมซึ่งดีกว่าประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายในปัจจุบันหรอกหรือ  ประการสุดท้าย  ในเรื่องของลำดับความสำคัญก็มีความรู้สึกว่าการรักษาความเป็นระเบียบถึงแม้ว่าจะเป็นที่ปรารถนาหรือสำคัญประการใดก็ตาม  ยังเป็นรองต่อการที่จะทำให้สำเร็จ  ดังนั้น  การพัฒนาจึงต้องมองผลของการปฏิบัติ

9.              การพัฒนาการเมือง  คือ  การระดมพลและอำนาจ  (Political  Development  as  Mobilization  and  Power)  การยอมรับว่า  ระบบการเมืองนั้นจะต้องมีความสามารถและประโยชน์ต่อสังคมนำไปสู่ความคิดที่ว่า  การพัฒนาการเมืองคือความสามารถของระบบ  เมื่อมีการเถียงว่า  ประชาธิปไตยอาจจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง  ก็มีข้อสันนิษฐานอยู่ว่า  เป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้ที่จะวัดความสามารถของระบบและขณะเดียวกันความคิดเรื่องประสิทธิภาพทำให้คิดว่า  มีแบบแผนทางทฤษฎีหรืออุดมคติที่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง

ความคิดอันนี้นำไปสู่ความเชื่อว่า  ระบบการเมืองสามารถจะถูกวัดได้โดยใช้ระดับหรือขอบข่ายของอำนาจสูงสุดซึ่งระบบสามารถจะระดมพลและอำนาจ  ระบบบางระบบนั้นซึ่งอาจจะมีเสถียรภาพหรือไม่มีก็ตามดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไปโดยมีอำนาจเพียงเล็กน้อย  ขณะเดียวกันผู้ตัดสินนโยบายมีอำนาจอย่างมาก  ดังนั้น  สังคมจึงสัมฤทธิ์ผลในความมุ่งหมายที่มีร่วมกัน  รัฐย่อมต่างกันตามพื้นฐานของทรัพยากร  แต่การวัดการพัฒนาทำได้โดยดูที่ขอบข่ายที่รัฐเหล่านั้นสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรของตนอย่างเต็มที่

การตระหนักด้วยว่า  การกล่าวเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความคิดที่หยาบและมีลักษณะเป็นเผด็จการ  การพัฒนา  คือ  ความสามารถของรัฐที่จะเอาทรัพยากรจากสังคม  ความสามารถที่จะระดมทรัยากรและการแจกแจงทรัพยากรมักจะผูกพันกับการสนับสนุนของประชาชนที่มีระบบการเมืองและด้วยเหตุอันนี้  ระบบประชาธิปไตยจึงมักจะระดมทรัพยากรได้สมฤทธิ์ผลดีกว่าระบบเผด็จการที่กดขี่  ความจริงแล้วในทางปฏิบัติ  ปัญหาของการพัฒนาการเมืองในหลายสังคมอาจจะเกี่ยวพันกับการได้รับความสนับสนุนจากประชาชน  อันนี้ไม่ใช่เพราะคุณค่าทางประชาธิปไตย  แต่เนื่องจากว่า  การสนับสนุของประชาชนจะทำให้ระบบการเมืองสามารถระดมอำนาจได้

เมื่อการพัฒนาการเมือง  คือ  การระดมและการเพิ่มระดับอำนาจสูงสุดในสังคมเราก็สามารถจะแยกแยะจุดประสงค์ของการพัฒนากับคุณลักษณะต่าง ๆ  ที่ผูกพันกับการพัฒนาลักษณะเหล่านี้อาจจะวัดได้  และดังนั้น  จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างดัชนีของการพัฒนา  ซึ่งได้แก่  จำนวนและขอบเขตของสื่อมวลชนซึ่งได้แก่จำนวนหนังสือพิมพ์  การกระจายวิทยุ  พื้นฐานทางภาษีของสังคม  สัดส่วนประชากร  ในรัฐบาลและส่วนอื่น  การจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาการป้องกันประเทศและสวัสดิการของสังคม

10.              การพัฒนาการเมืองเป็นแง่หนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม  (Political  Development as One aspect  of  a  Multi – Dimensional  Process  of  Social  Change)  ความจำเป็นที่ต้องมีข้อสันนิษฐานทางทฤษฎีเพื่อเลือกสรรดัชนีในการวัดการพัฒนานำไปสู่ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองนั้นผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการเปลี่ยนแปงทางสังคมและเศรษฐกิจนี่เป็นความจริงเพราะอะไรก็ตามที่อธิบายถึงศักยภาพของอำนาจของประเทศมักจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคม  ข้อถกเถียงนี้อาจจะกล่าวต่อไปอีกว่า  เป็นสิ่งไม่จำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะแยกแยะการพัฒนาการเมืองจากการพัฒนาในด้านอื่น ๆ  ถึงแม้ว่าในขอบเขตที่จำกัดอาณาจักรแห่งการเมืองอาจจะอยู่โดดเดี่ยวจากส่วนของสังคม  แต่ถ้าจะมีการพัฒนาการเมืองอย่างสม่ำเสมอจะต้องมีการพัฒนา  ในด้านอื่น ๆ  ของสังคมโดยจะปล่อยส่วนอื่นของสังคมล้าหลังไม่ได้

ตามความเห็นดังนี้  การพัฒนามีการเกี่ยวพันกันทุกด้าน  การพัฒนาเหมือนกันอย่างมากกับความเจริญทันสมัย  (Modernization)  และการพัฒนาเกิดขึ้นในกรอบทางประวัติศาสตร์  ซึ่งอิทธิพลจากข้างนอกสังคมมีต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงในแง่ต่าง ๆ  ในสังคม  กล่าวคือ  ทางเศรษฐกิจการเมืองและสภาพสังคมอย่างผูกพันซึ่งกันและกัน

จะเห็นได้ว่า  คำจำกัดความดังกล่าวมานั้นส่วนใหญ่เป็นการมองการพัฒนาการเมือง  โดยจะเน้นในแง่ที่นักวิชาการแต่ละสำนักคิดว่า  เป็นตัวแปรสำคัญและบางคำจำกัดความจำเป็นจะต้องกล่าวถึงแนวความคิดดังกล่าว  เช่น  คำจำก

หมายเลขบันทึก: 383149เขียนเมื่อ 9 สิงหาคม 2010 16:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2012 08:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท