สุภาาษิตไทย
ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่
ที่มาของสำนวนสุภาษิต
คนโบราณ(ดูช้างให้ดูที่หาง)จะดูเวลาช้างพังตกลูกเป็นช้างเผือก พวกช้างพังและช้างพลายจะช่วยกันย้อมกายของลูกมัน ด้วยกันใช้ ใบไม้หรือขี้โคลนดำๆพ่นทับให้สีเผือกกลายเป็นสีนิล เพื่อให้คนรู้แต่จะมีร่องรอยอยู่อย่างหนึ่ง คือ ที่หางจะมีสีขาวหลงเหลืออยู่
คนโบราณ(ดูนางให้ดูแม่) จะดูผู้หญิงที่จะมาเป็นสะใภ้ในบ้านหรือหมู่ญาติต้องดูที่ นิสัยใจคอ หรืองานบ้านงานเรือน และกริยามารยาทร่วมไปถึงคำพูดคำจา
ความหมายของสำนวนนี้
สำนวนทำนองนี้ มีอยู่ด้วยกันหลายประโยค และมีความหมายไปในทำนองเดียวกัน เช่น “ ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ “ ” ดูข้างให้ดูหน้าหนาว ดูสาวให้ดูหน้าร้อน “ ดังที่ได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่สำนวนที่ว่า ” ดูช้างให้ดูหาง “ นี้ มุ่งให้ดูหางช้าง ที่บอกลักษณะว่าเป็นช้างดีหรือช้างเผือก เพราะที่ปลายหางของมันยังเหลือให้เห็นสีขาวอยู่ตามเรื่องที่เล่าว่า เวลาช้างพังตกลูกเป็นช้างเผือกสีประหลาด พวกช้างพลายและช้างพังจะช่วยกัน ” ย้อม “ กลายลูกมันเสีย ด้วยการใช้ใบไม้หรือขี้โคนดำ ๆ พ่นทับ เพื่อมิให้คนรู้ว่าเป็นช้างเผือกแล้วมาจับไป หรืออย่างไรไม่แน่ชัด แต่การย้อมลูกของมันด้วยสีเผือกให้เป็นสีนิลนั้น ก็ยังเหลือร่องรอยอยู่อย่างหนึ่ง คือที่ปลายหางเป็นสีขาว เหตุนี้เขาจึงให้สังเกตลักษณะของช้างเผือกที่ตรงหางไว้เป็นหลักสำคัญ
ตักน้ำรดหัวตอ
ที่มาของสำนวนนี้
โบราณใช้เป็นคำเปรียบเทียบถึงการที่เราจะตักเตือน หรือสั่งสอนใครสักคนหนึ่งแต่คนนั้นไม่ยอมรับ หรือไม่เชื่อฟังคำเรา เปรียบได้กับการที่เราเฝ้าหมั่นรดน้ำหัวตอของต้นไม้ เพื่อหวังจะให้งอกงามขึ้นมาได้ ความหมายอย่างเดียวกับสำนวนพังเพยที่ว่า " ตักน้ำรดหัวสากล " และ " สีซอให้ควายฟัง ".
ความหมายของสำนวนนี้ หมายถึง สั่งสอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล
ที่มา http://www.siamtower.com/supasit/p22.html