ประวัติกรุงศรีอยุธยา


กรุงศรีอยุธยา

"พระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานีและเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ บรรดาขุนนาง ข้าราชการ เจ้านายทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่พระนครศรีอยุธยานี้วัดพนัญเชิง เมืองเมืองนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในแม่น้ำเจ้าพระยา ท้องที่รอบนอกเป็นที่ราบไปทั่วทุกทิศ รอบกรุงศรีอยุธยามีกำแพงหินสร้างอย่างหนาแน่นแข็งแรง รอบกำแพงวัดได้ 2 ไมล์ฮอลันดา จึงเป็นนครหลวงที่กว้างขวางใหญ่มาก ภายในพระนครมีโบสถ์ วิหาร วัดวาอารามสร้างขึ้นอยู่ติด ๆ กัน ประชาชนพลเมืองผู้อยู่อาศัยก็มีอยู่หนาแน่น ภายในกำแพงเมืองมีถนนกว้างตัดตรงและยาวมาก และมีคลองขุดจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาในพระนคร จึงสะดวกแก่การสัญจรไปมาได้ทั่วถึงกัน นอกจากถนนและคลอง ยังมีคูเล็ก ๆ และตรอกซอยอีกเป็นอันมาก ด้วยเหตุนี้ในฤดูน้ำ เรือพายทั้งหลายทั้งปวงจึงสามารถที่จะผ่านเข้าออกติดต่อกันได้จนถึงหัวกะไดบ้าน บ้านที่อยู่อาศัยนั้นปลูกขึ้นตามแบบบ้านแขกอินเดีย แต่มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง พระนครศรีอยุธยานี้จึงเป็นนครที่โอ่อ่า เต็มไปด้วยโบสถ์วิหาร ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 300 และก่อสร้างอย่างวิจิตรพิสดารที่สุด โบสถ์วิหารเหล่านี้มีปรางค์ เจดีย์ และรูปปั้น รูปหล่อมากมายใช้ทองฉาบอยู่ภายนอกสีเหลืองอร่ามทั่วไปหมด เป็นพระมหานครที่สร้างอยู่ข้างฝั่งแม่น้ำ โดยมีผังเมืองวางไว้อย่างเป็นระเบียบจึงเป็นนครที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม มีประชาชนหนาแน่น และเต็มไปด้วยสินค้าสิ่งของจำเป็นแก่ชีวิต นำเข้ามาขายจากนานาประเทศ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ยังไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในแถบนี้ของโลก ที่จะมีเมืองใหญ่โตมโหฬารวิจิตรพิสดารและสมบูรณ์พูนสุขเหมือนกับพระมหากษัตริย์ ณ ราชอาณาจักรนี้ พระนครศรีอยุธยาอยู่ในภูมิฐานที่ดีและมั่นคง สุดวิสัยที่ข้าศึกศัตรูจะโจมตียึดครองได้ง่าย ๆ เพราะทุก ๆ ปี น้ำจะท่วมขึ้นมาถึง 6 เดือนทั่วท้องที่นอกกำแพง จึงเป็นการบังคับให้ศัตรูอยู่ไม่ได้ ต้องล่าถอยทัพไปเอง"

ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา

 

"กรุงศรีอยุธยาเป็นราชอาณาจักรไทยที่มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมาถึง 417 ปี
มีพระมหากษัตริย์ปกครองบ้านเมือง 33 พระองค์ 
เริ่มจากพระเจ้าอู่ทอง พ.ศ.1893 จนถึงวาระสุดท้าย เสียกรุงแก่พม่า
เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 
รวมราชวงศ์ที่ทรงปกครองอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาถึง 5 ราชวงศ์ คือ 
ราชวงศ์เชียงราย ราชวงศ์สุวรรณภูมิ ราชวงศ์พระร่วง 
ราชวงศ์ปราสาททอง และราชวงศ์บ้านพลูหลวง"

 


   

     โยส เซาเต็น ชาวฮอลันดาที่เข้ามาติดต่อค้าขายในพระนครศรีอยุธยา (ฝรั่งชาติแรกที่เข้ามากรุงศรีอยุธยา คือ ปอร์ตุเกส ในสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 พ.ศ.2034-2072) ได้เขียนพรรณนาความสวยงามและความมั่งคั่งของกรุงศรีอยุธยาไว้ว่

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.1893 เป็นกษัตริย์ราชวงศ์เชียงราย ทรงปกครองกรุงศรีอยุธยาจนถึง พ.ศ. 1912 ก็สวรรคต พระราเมศวรพระราชโอรสที่ครองเมืองลพบุรีเสด็จมาเสวยราชแทนพระราชบิดา (พ.ศ.1912-1913) แต่ขุนหลวงพะงั่ว พระปิตุลา (อา) เสด็จเข้ามาหมายจะครองราชย์ จึงทรงสละราชบัลลังก์กลับไปครองเมืองลพบุรีดังเดิม

ขุนหลวงพะงั่วเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 1 เป็นต้นราชวงศ์สุวรรณภูมิ ครองราชย์ พ.ศ.1913 ถึงพ.ศ.1931 เสด็จสวรรคต พระเจ้าทองลัน ราชโอรสขึ้นเสวยราชย์แทน เมื่อพระชนมายุ 15 พรรษา เพียง 7 วัน พระราเมศวรก็เสด็จมาจับปลงพระชนม์

สมเด็จพระราเมศวร ทรงครองราชย์ตั้งแต่พ.ศ.1931 ถึงพ.ศ.1938 ทรงเป็นจอมทัพยกไปตีเมืองกำพูชาได้

สมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสเสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา พ.ศ.1938 ครั้นถึงพ.ศ.1952 ก็เกิดเหตุการณ์แย่งชิงราชสมบัติเป็นครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยา คือพระราชนัดดาของขุนหลวงพะงั่วที่ครองเมืองสุพรรณมาจับพระรามราชาธิราชปลงพระชนม์แล้วขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนครินทราชาธิราช

สมเด็จพระนครินทราชาธิราช ครองราชย์ พ.ศ.1952 ถึงพ.ศ.1967 มีพระโอรส 3 พระองค์ คือ เจ้าอ้ายพระยา โอรสองค์ใหญ่ทรงให้ครองเมืองสุพรรณ เจ้ายี่พระยา โอรสองค์กลางให้ครองเมืองสรรค์ และเจ้าสามพระยา โอรสองค์เล็กให้ครองเมืองชัยนาท เมื่อพระราชบิดาสวรรคต โอรสทั้งสามก็ยกทัพเข้ากรุงศรีอยุธยา เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาชนช้างกันที่เชิงสะพานป่าถ่าน สวรรคตบนคอช้างทั้งสองพระองค์ เจ้าสามพระยายกทัพมาภายหลังก็เข้ากรุงศรีอยุธยาเสวยราชย์สมบัติแทนพระราชบิดาทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 2

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.1967 ถึงพ.ศ.1991 ทรงมีพระราชโอรสทรงพระนามว่า พระราเมศวร โปรดให้ไปครองหัวเมืองเหนือ ณ เมืองพิษณุโลก ครั้นพระราชบิดาสวรรคตก็เสด็จขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา ทรงพระนามว่า พระบรมไตรโลกนาถ

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ครองราชย์ พ.ศ. 1991 ถึง พ.ศ.2031 เหตุการณ์สำคัญในสมัยนี้คือ ทรงยกทัพไปรบกับพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ทรงยกเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองหลวง เสด็จไปประทับพ.ศ. 2006 จนสวรรคตที่นั่น ส่วนกรุงศรีอยุธยาให้เป็นเมืองลูกหลวง โปรดให้พระบรมราชา พระโอรสองค์ใหญ่มาครอง สมัยนี้มีการปรับปรุงระบบการปกครองเป็น เวียง วัง คลัง นา และบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ครองราชย์ พ.ศ.2031 ถึงพ.ศ.2034 เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แทนพระราชแทนพระราชบิดาทำให้กรุงศรีอยุธยากลับมาเป็นเมืองหลวง แต่ครองราชย์ได้เพียง 3 ปีก็สวรรคต พระอนุชาต่างพระมารดาขึ้นเสวยราชย์สมบัติแทนทรงพระนาม สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.2034 ถึง พ.ศ.2072 ในสมัยนี้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นครั้งแรก คือ ฝรั่งชาวปอร์ตุเกสได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก ในสมัยนี้ได้จัดทำตำราพิชัยสงคราม เมื่อเสด็จสวรรคตสมเด็จพระอาทิตย์วงศ์พระราชโอรสขึ้นเสวยราชย์แทน ทรงพระนามว่า พระบรมราชามหาหน่อพุทธางกูร

สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (หน่อพุทธธางกูร) ครองราชย์ พ.ศ.2072 ถึงพ.ศ.2076 ทรงครองราชย์ได้เพียง 5 ปีก็ประชวรทรพิษสวรรคต พระรัษฎาธิราชกุมาร พระชนม์ 5 พรรษา ขึ้นเสวยราชย์แทน

สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร ครองราชย์พ.ศ.2076 อยู่ได้เพียง 5 เดือน พระไชยราชาธิราชก็ปลงพระชนม์และขึ้นครองราชย์แทน

สมเด็จพระไชยราชาธิราช เสวยราชย์ พ.ศ.2077 ถึงพ.ศ.2090 ได้ทำสงครามกับพม่าเป็นครั้งแรก ทำให้รบกันยาวนานต่อมาถึง 300 ปีเศษ เมื่อเสด็จสวรรคต พระแก้วฟ้า พระโอรสองค์ใหญ่ พระชนมายุ 11 พรรษาขึ้นครองราชย์สืบแทน

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์) ครองราชย์ พ.ศ.2301 ถึงพ.ศ.2310 ขุนนางไม่พอใจจึงพากันออกบวชเป็นอันมาก ปลายปีพ.ศ.2308 กองทัพพม่าเห็นความระส่ำระส่ายของกรุงศรีอยุธยาจึงยกกองทัพเข้าตีตามรายทาง และเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์ไม่มีพระสติปัญญาบริหารบ้านเมืองและบัญชาการรบ จึงให้อัญเชิญเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงลาผนวชมาครองราชย์และบัญชาการรบทำให้พระเจ้าเอกทัศน์อยากครองราชย์อีก เจ้าฟ้าอุทุมพรทรงรำคาญพระทัยเลยเสด็จออกทรงผนวชอีก ส่วนพระเจ้าเอกทัศน์ก็ทรงสำราญและมัวเมาในอิสตรีไม่เอาพระทัยใส่ในการป้องกันบ้านเมือง พม่าล้อมเมือง 1 ปีกับ 2 เดือน ขุดอุโมงค์เผากำแพงพังลงมา บุกเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 ตรงกับวันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน นพศก จุลศักราช 1129 ไล่ฆ่าผู้คน ปล้นเมืองจุดไฟเผาทุกสิ่งทุกอย่าง กรุงศรีอยุธยาที่รุ่งเรืองสืบต่อกันมา 417 ปีก็ถึงกาลพินาศย่อยยับ ไม่อาจฟื้นคืนมาเป็นราชธานีแห่งกรุงสยามอีกต่อไป เป็นอันสิ้นสุดประวัติศาสตร์อันยาวนานของกรุงศรีอยุธยาโดยสิ้นเชิง ซึ่งเกิดจากการแตกสามัคคีและแก่งแย่งชิงดีและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของคนไทยนั่นเอง

 

คำสำคัญ (Tags): #กรุงศรีอยุธยา
หมายเลขบันทึก: 380045เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2010 16:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 18:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ครูกบย้ายมาอยู่นานยังคับ

มาอยู่เป็นปีแล้วครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท