หลินเจี้ยนหลง ผู้พลิกชะตาสู่ความสำเร็จ งานเขียนของ Jyan- Lung Lin คุณชุตินันท์ เอกอุกฤษฏ์กุล แปล คุณวิกรม กรมดิษฐ์ คุณนัทธี จิตสว่าง และคุณทิชา ณ นคร ให้คำนิยม ลิขสิทธิ์ภาษาไทยของ สำนักพิมพ์อินทร์สปาย พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2552
หลินเจี้ยนหลง ถูกส่งเข้าโรงเรียนดัดสันสันดาน เมื่ออายุ 23 ปี วันที่พ่อกับแม่มาเยี่ยมแม่เล่าย้อนไปยังตอนที่หลินเจี้ยนหลงยังเล็ก ยังเดินไม่เป็น คลานซุกซน ในย่ำค่ำวันที่แม่กลับมาจากทำงานในโรงงานปุ๋ย หลิ้นเจี้ยนหลงหายไป แม่ร้องไห้ไปค้นหาไป มีคนไปพบเห็นเขาคลานออกมาจากใต้ยกพื้นที่นอน นั่งเงียบ ๆ บนพื้น ไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย หยากไย่ใยแมงมุมติดตัวเต็มไปหมด แม่เล่าวันที่เขาหายไปอย่างสนุกสนาน หลิ้นเจี้ยนหลงรู้ว่านั่นคือสิ่งที่แม่กำลังจะบอกเขาว่าเมื่อเข้าไปได้ ก็ย่อมกลับออกมาได้
หลินเจี้ยนหลงเกิดและโตในเหมือง รอบตัวเต็มไปด้วยบ่อนการพนัน อายุสิบเจ็ดเป็นที่ต้องการตัวของทางการ ชีวิตใฝ่ฝันถึงอเมริกา เป็นกวีอิสระ เขียนบทกลอนอิสระ อ่านบทกลอนอย่างอิสระ และอยากสอนเขียนบทกวี ทั้งที่รู้ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะเป็นไปได้ไหมและจะมาอย่างไร
แต่สิ่งหนึ่งที่บอกว่าไม่ว่าจะเกิดมาจากไหน โตมาอย่างไร มีชีวิตอย่างไร หลินเจี้ยนหลงคือคนที่ใฝ่ดี หลินเจี้ยนหลงชื่นชอบปรัชญาของ ขงจื้อ เล่าจื้อ เม่งจื้อ แม้ร่างกายปราศจากอิสรภาพ แต่จิตวิญญาณและสติปัญญาโบกบินอย่างอิสระ ได้อ่านงานเขียนชั้นดี เช่นสามก๊ก ความฝันในหอแดง สงครามและสันติภาพ กระเรียนพันตัว เฒ่าผจญทะเล
หลินเจี้ยนหลงอาศัยการศึกษาเล่าเรียนตอนอยู่ในสถานดัดสันดาน และสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ พบรักกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน คบหากันตอนปีการศึกษาที่สองมหาวิทยาลัยตงอู๋ เมื่อเรียนจบก็แต่งงานกัน
ฤดูร้อน ค.ศ. 1986 พ่อแม่ของคนรักก็ส่งทั้งคู่ไปเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา คณะศิลปะศาสตร์ภาษาอังกฤษ เรียนปริญญาโทจบในสองปี เรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน และกลับไต้หวันปลายฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.1992 เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยตงอู๋ มหาวิทยาลัยที่เขาเคยได้เรียนปริญญาตรี และได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตลอดเวลา ได้สอนวิชากวีนิพนธ์อังกฤษและวรรณกรรมอังกฤษ เขามาไกลฝั่งฝันด้วยซ้ำกับความฝันของกวีอิสระ
บางทีชีวิตเราอาจต้องผ่านเส้นทางแห่งความทุกข์อยากลำบาก ล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่ขอเพียงเราหวัง ฝัน และลงมือทำ ขอเพียงอยากเดียวที่เราควรคิดและระลึกเสมอว่าเราใฝ่ดี
ด้วยจิตคารวะ
ธีระ เงินแก้ว
ปลายกุมภาสองห้าห้าสาม
ไม่มีความเห็น