ได้กลิ่นธูปลอยมาเป็นระยะ สงสัยที่คณะจะคิดถึง (ฮิ! ฮิ!) คงต้องรีบเดินทางกลับลำปางเสียแล้ว เพราะ อีกไม่กี่วันก็จะครบ 2 อาทิตย์ที่ผู้วิจัยไม่มี (โอกาส) ยำกรายเข้ามหาวิทยาลัย เนื่องจาก เดินทางไปสงขลา 3 วัน จากนั้นกลับมาแวะพักที่กรุงเทพฯ 2-3 วัน แล้วเดินทางต่อไปที่ราชบุรีและกาญจนบุรีอีก 3 วัน ก่อนที่จะมาตั้งต้นที่กรุงเทพฯเพื่อทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา ตอนนี้ก็ใกล้จะเสร็จภารกิจแล้ว คงต้องกลับลำปางเสียที
เมื่อต้องตะลอนทัวร์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะได้เข้ามาเขียนบันทึกตามที่ตั้งใจไว้ วันนี้เป็นฤกษ์งามยามดี เพราะ เพิ่งมีโอกาสอยู่บ้าน จึงเข้ามาเขียนสักหน่อย
การเดินทางไปราชบุรีและกาญจนบุรีในระหว่างวันที่ 6-8 กรกฎาคม 2549 ของผู้วิจัยนั้น ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้ความกรุณาหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นอาจารญ์ ดร.ทิพวัลย์ สีจันทร์ , รศ.ดร. ปัทมาวดี ซูซูกิ ที่ให้โอกาสผู้วิจัยในการเข้าร่วมเวทีในครั้งนี้ รวมทั้งเครือข่ายวิจัยและพื้นที่ต้นแบบทุกท่านที่ให้ความรู้ ความเป็นกันเอง การต้อนรับที่อบอุ่นตลอดการเดินทาง
ผลจากการเข้าร่วมเวทีในครั้งนี้ (อ้อ! ลืมบอกไปค่ะว่าเวทีครั้งนี้ อยู่ภายใต้โครงการวิจัยเรื่องระบบแลกเปลี่ยนชุมชนเพื่อการพึ่งตนเอง) ทำให้ผู้วิจัยได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์มากมาย รวมทั้งได้กำลังใจที่จะกลับไปทำงานต่อไปด้วย
"การแลกเปลี่ยนโดยใช้คูปองเป็นสื่อกลาง" เป็นสิ่งแรกที่ผู้วิจัยตั้งใจว่าจะเอาความคิดนี้ไปขายให้กับชุมชน ดังนั้น ในวันนี้ผู้วิจัยจึงได้โทรศัพท์ไปปรึกษากับคณะกรรมการกลุ่มบ้านดอนไชยเกี่ยวกับแนวความคิดนี้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ภายในเดือนกันยายนนี้คงเห็นผลที่เป็นรูปธรรม
ปัจจุบันคณะกรรมการขององค์กรออมทรัพย์ชุมชนบ้านดอนไชย ได้นำเงินในส่วนของกองทุนสวัสดิการคนทำงานมาลงทุนเปิดร้านค้าสวัสดิการชุมชน ซึ่งเปิดมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 นี่เป็นทุนอย่างหนึ่งของชุมชนแห่งนี้ เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ทุนนี้เจริญเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง เพื่อให้เป็นทุนที่ยั่งยืนของชุมชนต่อไป
สิ่งที่ผู้วิจัยคิดไว้ก็คือ จะนำระบบคูปองมาใช้กับร้านค้าชุมชน โดยเริ่มต้นการใช้คูปองในคณะกรรมการและสมาชิกของกลุ่มก่อน จากนั้นถ้าได้ผลก็จะขยายแนวคิดนี้ไปสู่สมาชิกคนอื่นๆในชุมชนด้วย
1.ในกรณีของคณะกรรมการ ปัจจุบันสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นปัญหาอยู่ก็คือ คณะกรรมการของกลุ่มบ้านดอนไชย เมื่อมาทำงานในวันออมจะได้ค่าตอบแทน คือ เงินออมจำนวน 30 บาท ซึ่งนำมาจากเงินกองทุนทดแทน ในขณะที่กลุ่มอื่นๆจะจ่ายให้คณะกรรมการ 130 บาท แบ่งเป็นเงินออม 30 บาท และ เงินค่าตอบแทน 100 บาท เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันขึ้น แม้กลุ่มดอนไชยจะพยายามแก้ไขปัญหาโดยเมื่อถึงสิ้นปีจะมีการมอบค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนให้กรรมการจำนวนหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นบ้างประปราย
ผู้วิจัยจึงมีแนวความคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะสามารถจ่ายเงินตอบแทนการทำงานให้กับคณะกรรมการได้อย่างสมนำสมเนื้อ และเงินเหล่านั้นยังอยู่ภายในกลุ่ม/ชุมชน การนำคูปองมาใช้น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง โดยในการจ่ายค่าตอบแทนน่าจะใช้ 2 ระบบควบคู่กัน คือ จ่ายเป็นเงิน 30 บาท เพื่อออมให้คณะกรรมการทุกเดือน อีกส่วนหนึ่งจ่ายเป็นคูปอง ซึ่งจะจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปีก็ได้ ถ้าจ่ายเป็นรายเดือนก็จ่ายคูปองมูลค่า 100 บาท/คน ถ้าจ่ายเป็นรายปีก็จ่ายคูปองมูลค่า 1,200 บาท/คน ให้กรรมการ การที่ต้องจ่ายเป็นคูปองก็เพื่อให้คณะกรรมการนำคูปองเหล่านี้มาซื้อสินค้าที่ร้านค้าสวัสดิการชุมชน ผลกำไรที่ร้านค้าได้ก็ยังอยู่ในชุมชน แต่ถ้าจ่ายเป็นเงิน เงินนั้นก็อาจถูกนำไปใช้ผิดประเภท หรือนำไปใช้จ่ายนอกชุมชน
ในส่วนนี้ พี่นก ยุน บอกว่า เห็นด้วย แต่อยากจะขอเพิ่มเติมว่าในช่วงแรกๆ อาจจ่ายทั้งในรูปของคูปอง และสิ่งของ แต่จะไม่จ่ายเป็นเงิน
2.ในส่วนของสมาชิก เนื่องจากกองทุนสวัสดิการชุมชนบ้านดอนไชย มีสมาชิกจำนวนหนึ่งที่สมัครเป็นสมาชิกกองทุนหมุนเวียน (เพื่อการกู้ยืม) ด้วย โดยปกติเมื่อถึงสิ้นปีก็จะมีการปันผลให้กับสมาชิก
ต่อจากนี้ไป ควรมีการนำระบบคูปองของกลุ่มเข้ามาใช้ โดยเมื่อต้องปันผลให้กับสมาชิกทุกสิ้นปีจะเปลี่ยนจากจ่ายเงิน มาเป็นจ่ายเป็น "คูปอง" แทน เพื่อให้สมาชิกนำคูปองนั้นมาซื้อสินค้าในร้านค้าสวัสดิการชุมชน
นอกจากนี้แล้ว ผู้วิจัยยังเห็นว่าในวันออมสมาชิกจะมาออมเงินกันมากมาย แต่ที่ผ่านมามีเพียงกิจกรรมการออมเท่านั้น ยังไม่มีกิจกรรมอื่นๆ ดังนั้น เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 นี้เป็นต้นไป ในวันออม คณะกรรมการจะต้องนำสินค้าในร้านค้าสวัสดิการชุมชนมาจำหน่ายบริเวณที่ออมด้วย เพื่อให้วันออมมีกิจกรรมที่หลากหลาย ร้านค้าก็จะไม่ต้องสูญเสียรายได้ด้วย เนื่องจาก ที่ผ่านมาเมื่อถึงวันออมจะไม่มีคนเฝ้าร้านค้า จึงจำเป็นที่จะต้องปิดร้านไปโดยปริยาย
การซื้อขายสินค้าในวันออมนั้นมีกติกาพิเศษอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ผู้ซื้อจะต้องนำเงินมาแลกเป็นคูปองก่อน แล้วนำคูปองนั้นมาแลกสินค้าอีกครั้งหนึ่ง เราจะไม่มีการรับเงินสดโดยเด็ดขาด
มีคำถามที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 2 คำถาม คือ
1.การใช้คูปองแลกซื้อสินค้ากับการใช้เงินแลกซื้อสินค้ามีความแตกต่างกันอย่างไร?
สำหรับในกรณีนี้ หากใช้คูปองแลกซื้อสินค้า ทางร้านค้าจะให้แต้มสะสมเพิ่มเติม อธิบายง่ายๆก็คือ ปัจจุบันหากสมาชิกมาซื้อสินค้า (ด้วยเงิน) คณะกรรมการจะออกบิลให้สมาชิกเป็นผู้เก็บเอาไว้ เมื่อถึงสิ้นปี สมาชิกจะรวบรวมบิลเพื่อนำมาแลกของขวัญที่ทางร้านค้าจัดเตรียมไว้ โดยของขวัญเหล่านี้นำมาจากของแถมที่ทางร้านค้าได้รับ รวมทั้งของที่ร้านค้า/ชุมชนผลิตได้ แต่ต่อไปเมื่อนำระบบคูปองเข้ามาใช้ ผู้ที่ใช้คูปองจะได้รับแต้มสะสมพิเศษ เช่น ซื้อสินค้าด้วยคูปอง 100 บาท จะเท่ากับซื้อสินค้าด้วยเงินสด 120 บาท (ตัวเลขสมมติ) หากสะสมยอดได้มาก ของขวัญที่ได้รับก็จะมีมูลค่ามากตามไปด้วย
2.จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้คูปอง? ถ้าไม่ใช้คูปอง ใช้เงินในการซื้อสินค้าได้ไหม แต่ถ้าใครเป็นสมาชิกก็ให้บวกแต้มสะสมไปเลย
ผู้วิจัยเห็นว่า "คูปอง" มีความจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้ เพราะ เรามองคูปองในฐานะ "สื่อ" แบบใหม่ที่สามารถนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้ แม้จะยังอยู่ในวงจำกัดก็ตาม แต่ถ้าเราทำดีๆก็อาจขยายไปสู่ส่วนอื่นๆได้ นอกจากนี้แล้ว ในระยะแรก "คูปอง" ยังเป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกและกรรมการอีกด้วย เพราะ คูปองจะสามารถใช้ได้กับร้านค้าสวัสดิการชุมชนเท่านั้น หากมีผู้ใช้คูปองมาก นั่นหมายความว่าร้านค้าจะมีรายได้มากขึ้นตามไปด้วย เมื่อมีรายได้มากขึ้น ทางร้านก็จะมี "ทุน" ในการที่จะนำมาปรับปรุง ขยาย ร้านค้าให้ครบวงจรมากขึ้น รวมทั้ง สินค้าในร้านก็จะมีของที่ผลิตได้โดยชุมชนมากขึ้นตามไปด้วย