จากบันทึกสุดท้ายเมื่อปี 51 ก็มีอะไรในชีวิตเปลี่ยนไปให้วิ่งตามหลายอย่าง หยุดไม่ค่อยอยู่เช่นเดียวกับชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่..
แม้รู้ว่าเป้าที่อยากจะไปให้ถึงในการอยู่กับชาวบ้านที่นี่คือสอนให้ชาวบ้านพึ่งตนเองได้พร้อมๆ กับสอนให้ตัวเองพึ่งตนเองได้ด้วย แต่การจะหยุดทุกอย่างรอบตัวพวกเขาที่กำลังไหลเชี่ยว เพื่อให้เขาหันมาพึ่งตนเองเป็นเรื่องยาก ได้แต่เดินไปด้วยกันตามที่เขาต้องการ ตามที่เขาเลือก แล้วค่อยๆ ให้ได้เรียนรู้ไปด้วยกัน ....
อย่างล่าสุด นโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ของรัฐบาลที่เริ่มเมื่อปีก่อน ที่มาอย่างเงียบเชียบในช่วงแรก จนชาวบ้านในพื้นที่ไม่รู้เรื่องไปขึ้นทะเบียนข้าวโพดกันไม่ทันกำหนดเสียสิทธิกันนับพันครอบครัว !!!
พอตั้งหลักได้ว่าปีนี้ไม่ให้พลาดอีก กรมส่งเสริมการเกษตรก็มากำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ในปีนี้ว่า เกษตรกรที่ทำกินในเขตป่าสงวนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนในปีที่ผ่านมา ไม่มีสิทธิขึ้นทะเบียนรับสิทธิประกันรายได้ในปีนี้ ก็ชาวไทยภูเขาเกือบทุกดอยล้วนได้รับการผ่อนผันให้ทำกินในเขตป่าสงวนมาเป็นสิบๆ ปีอยู่แล้ว ถ้ารัฐบาลมีนโยบายอยากช่วยบรรเทาความเดือดร้อนตามเป้าหมายของโครงการนี้ ก็ไม่น่าแบ่งแยก
ชาวบ้านในพื้นที่นี้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชเศรษฐกิจหลักเลี้ยงครอบครัวมากว่า 10 ปีแล้ว ต้องทนแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้นทุกปีๆ โดยเฉพาะเมื่อถนนหนทางไม่ดี ทางขาด พ่อค้าไม่ขึ้นไปรับซื้อ พืชผลที่เก็บเกี่ยวไว้แล้วก็เสียหายหมด ขาดทุนซ้ำซาก
ทุกคนดีใจที่รัฐบาลมีนโยบายประกันรายได้ช่วยแบ่งเบาภาระขายพืชผลไม่ได้ราคา แต่ฝนก็ตกไม่ทั่วฟ้า มาไม่ถึงบนดอยแถบนี้
ชาวบ้านหลายร้อยครอบครัวอยากร้องขอความช่วยเหลือเรื่องนี้ก่อนจะหมดเขตการขึ้นทะเบียนในเดือนตุลาคมปีนี้
ไม่ทราบใครมีช่องทางใดช่วยแนะนำชาวบ้านในภาคปฏิบัติได้บ้างคะ ???
วันที่ ๓๐ มาเจอนายก และยืนจดหมายของคนตกหล่นไหมล่ะ
ในวันนี้ อดีตคนตกหล่นจากทะเบียนราษฎรมาเป็นคนตกหล่นจากทะเบียนเกษตรในความช่วยเหลือของรัฐ
ด้วยความเกรงใจ ขอบอกว่า ธรรมสติคงต้องปรับแนวคิดและวิธีการทำให้เร็วและทันความเป็นไปของสังคมมากกว่านี้
อยากเตือนสติอีกหน งานวิจัยแสดงความเป็นมาเป็นไปของคนกลุ่มนี้คงจำเป็น
จำเป็นต้องบอกเหมือนเดิมว่า เขาคือใคร ?
ขอบคุณมากค่ะอาจารย์