“ แป๊ด......แป๊ด.......” เสียงบีบแตรรถที่ดังสนั่นไปทั่วหน้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลโนนคูณ ในกลางดึกคืนหนึ่ง พร้อมเสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจของผู้หญิงที่อยู่ในรถว่า
“ คุณหมอ!! คุณหมอ!! ซ่อยแหน่......เร็ว ๆแหน่.....”
“ อะไรกันนักกันหนา อีกแค่ 15 นาที ก็จะเที่ยงคืนและฉันก็จะลงเวรบ่ายแล้ว คงไม่ใช่คนไข้หมดสติหรอกนะ ” ฉันแอบคิดคนเดียวในใจอย่างเบื่อหน่าย ขณะที่ฉันกับเพื่อนร่วมเวรอีกคนหนึ่งกำลังวิ่งออกมาดูว่าเกิดเหตุอะไร ทั้ง ๆ ที่ระยะทางจากห้องพักเจ้าหน้าที่เวรจนถึงรถของคนไข้ใกล้กันแค่เอื้อม ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำไป แต่ทำไม?ฉันกลับรู้สึกว่ามันนานซะเหลือเกิน
ภาพชายหญิงประมาณ 3- 4 คนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หน้าผู้หญิงคนหนึ่งบนท้ายรถกระบะ ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อยืดสีแดง ใบหน้าบิดเบี้ยว มือทั้งสองข้างกุมบริเวณหน้าท้องที่โตเกินปกติ พร้อมส่งเสียงร้องครวญครางว่าเจ็บและขอให้ช่วยตลอดเวลา ผ้าถุงลายดอกที่ซีดจนเก่าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำใสๆ ฉันรีบถามต่อเลยว่า
“ เจ็บท้องคลอดเหรอ? คุณแม่ว่าท้องที่เท่าไหร่? เจ็บตั้งแต่กี่โมง? ”
“ ท้องที่ 4 เจ็บตั้งแต่สองทุ่ม มีน้ำเดินออกชุ่มผ้าถุงมา 2 ผืนแล้ว ”
“ โห๋!!! แล้วเพิ่งจะมานี่นะ ” ฉันอดคิดไม่ได้ว่าทำไมต้องปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานขนาดนี้ถึงได้พากันมาหาหมอ แต่ฉันก็ทำได้เพียงแค่แอบคิด
“ ตุ๊ก พาคุณแม่เข้าห้องคลอดด่วน!!! ” ฉันเรียกให้น้องผู้ช่วยเหลือคนไข้รีบเข็นรถรับคุณแม่พาไปยังห้องคลอดทันที พร้อมรับสมุดฝากครรภ์มาดู ไม่มีผลเลือดในสมุด ฝากท้องครั้งแรกและครั้งเดียวที่สถานีอนามัยและไม่ได้ฝากต่อ จำประจำเดือนไม่แม่น ไม่เคยฝากครรภ์ต่อที่อื่น ไม่ได้ U/S เลย อะไรกันนี่!!! ยังมีคนไม่ฝากครรภ์หลงเหลืออยู่อีกเหรอนี่ ทำไมละ? ฉันถามตัวเองอยู่ซ้ำๆว่าทำไม? แต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันต่อสภาพของคุณแม่และคงไว้ซึ่งความปลอดภัยของลูกในครรภ์ ฉันรีบประเมินอายุครรภ์จากประจำเดือนในสมุดฝากครรภ์อย่างคร่าว ๆ ประมาณ 32 สัปดาห์ พร้อมรายงานแพทย์เวรทันที หลังจากที่ฉันเตรียมคุณแม่เสร็จเรียบร้อยเพื่อรอแพทย์มาตรวจ ฉันได้หาข้อมูลเพิ่มเติมจากระบบของโรงพยาบาล โชคยังดีที่มีข้อมูลจากสถานีอนามัยส่งเลือดมาตรวจที่ รพ.จากประวัติเก่าผลเลือดปกติ แพทย์เวรมาถึงห้องคลอดตรวจภายในปรากฏว่าปากมดลูกเปิด 9 ซม. ความบางของมดลูกเท่ากับ 100% หัวเด็กก็ลงมาต่ำมาก
“ คุณหมอ สิบ่ไหวแล้วใด เจ็บเฮง อยากเบ่งแล้ว ” หญิงตั้งครรภ์พยายามบอกด้วยเสียงสั่น ๆ เจือด้วยเสียงสะอืดราวกับร้องไห้
“ คุณแม่ ท้องคุณแม่เล็กมาก น่าจะคลอดกก่อนกำหนดและมีเลือดออกด้วย หมอไม่แน่ใจอาจจะเป็นรกเกาะต่ำ เดี๋ยวหมอจะส่งต่อไปคลอดที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ที่มีแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือที่ครบครันกว่าโรงพยาบาลเรานะ” ในขณะที่เตรียมคุณแม่เพื่อส่งต่อไปยังรพ.อื่น ฉันก็ประเมินสภาพคุณแม่ ประกอบกับประสบการณ์ในการทำงานมาประมาณ 8 ปี ฉันเลยตัดสินใจบอกแพทย์เวรว่า
“ คุณหมอคะ พี่ว่าคลอดบนรถ refer แน่ๆ ” แต่แพทย์เวรก็ยืนยันที่จะให้ส่งต่อและย้ำให้รีบไปให้เร็วที่สุด ฉันจึงรีบเรียกรถและพยาบาลเวร refer แต่สถานการณ์อย่างนี้ต้องมีพยาบาล refer 2 คน และต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์เรื่องการทำคลอด เจ้าของเวร refer เป็นพยาบาลตึกผู้ป่วยในซึ่งความเชี่ยวชาญจะมีน้อยเมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่ห้องคลอด
“ เอาล่ะทีนี้ แล้วฉันจะเรียกใครอีกคน วันนี้ไม่ค่อยมีพยาบาลอยู่แฟลตซะด้วย ” ฉันบ่นพึมพำคนเดียวอย่างคิดไม่ออก พอดีกับพยาบาลเวรดึกมารับเวรต่อจากฉัน ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า สมควรเป็นฉันที่ต้องไป refer ด้วย นี่ก็เที่ยงคืนกว่าๆแล้วรีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์ ฉันหันไปมองรอบๆรถ อุปกรณ์บนรถพร้อม set ทำคลอดพร้อม คุณแม่อยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว ทุกคนพร้อม รถ refer เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลโนนคูณอย่างรวดเร็วตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ด้วยความหวังว่าทุกอย่างคงราบเลื่อนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่เหตุการณ์ที่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากที่รพ Refer ขับออกมาได้ประมาณ 30 นาที ถึงบ้านน้ำเกลี้ยง อ.สำโรง
“ คุณหมอ บ่ไหวอีหลี๋แล้ว อยากเบ่งเฮง!!!! ” เสียงร้องบอกของคุณแม่ท้อง 4 ทำให้ฉันรีบใส่ถุงมือและบอกให้น้องเตรียมเครื่องมือไว้ช่วยเด็ก
“ คุณแม่ถลกผ้าถุงไปวางหน้าท้อง ตั้งขาขึ้น หายใจเข้าออกลึก ๆ อย่าพึ่งเบ่งนะค่ะ ” ภาพที่ฉันเห็นคือก้อนเนื้อขาว ๆ มีรอยแยกอย่างชัดเจน โผล่ออกมาจากช่องคลอด โอ.....ไม่.....ไม่นะ เด็กไม่ได้ออกมาด้วยท่าหัว ซวยแน่ ๆ นี่มันท่าก้นชัดๆ ฉันบอกตัวเองเด็กใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว ฉันรีบใช้ผ้าสะอาดรองรับเด็ก ฉันถามตัวเองว่าเราเคยทำคลอดท่าก้นไหม? และคำตอบก็คือไม่ แต่เคยเห็นแพทย์ทำ ตอนนี้ เวลานี้ ในรถคันนี้ ถึงฉันจะเคยหรือไม่เคยทำ คนที่ต้องทำคลอดต้องเป็นฉัน ไม่งั้นเด็กคนนี้ไม่รอดแน่ ในที่สุดเด็กเอาก้นออกจริง ๆ เด็กคนนี้คลอดบนรถ Refer ตัวเล็กมาก ทันที่ที่คลอดเด็กก็ยังไม่ร้อง ต้องกระตุ้น suction ตัดสายสะดือ และ keep warm ให้ความอบอุ่นพร้อมให้ออกซิเจนไปด้วย ประเมิน apgar score 8,9 คลอดเวลา 00.50 น.
ด้วยความที่เด็กตัวเล็กมาก ฉันกลัวว่าจะมีปัญหาระหว่างการเดินทาง จึงตัดสินใจให้พี่คนขับรถแวะที่โรงพยาบาลสำโรง เพื่อให้แพทย์ที่โรงพยาบาลสำโรงตรวจสภาพเด็กก่อน ในระหว่างนั้นฉันก็เล่าเหตุการณ์ให้พี่ๆพยาบาลที่โรงพยาบาลสำโรงฟังและรายงานแพทย์เวรที่นั่น พร้อมทั้งนำลูกและคุณแม่ลงจากรถมายังห้องคลอด ซึ่งขณะนั้นคุณแม่รกยังไม่คลอด เด็กหนัก 1,130 กรัม และแพทย์จะทำการใส่ท่อช่วยหายใจ ขณะที่เตรียมอุปกรณ์ คุณแม่ที่นอนอยู่บนเตียงรอคลอดเพื่อรอรกคลอดก็พูดขึ้นว่า
“ คุณหมอ ฉันอยากเบ่งอีกแล้ว ” ฉันคือคนที่อยู่ใกล้ที่สุดเพราะเตรียมที่จะทำคลอดรก หันไปมองคุณแม่ แทบไม่อยากเชื่อสายตาในสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่ออกมาจากช่องคลอดของคุณแม่นั้นเป็นก้อนเนื้อขาวๆมีรอยแยกอย่างชัดเจน ให้ตายสิ!!! นี่มัน!!! เด็กอีกคน ท่าก้นด้วย คุณแม่ตั้งครรภ์แฝด
“ คุณหมอ เหลือเด็กอีกคนยังไม่คลอดเลยค่ะ ” คุณหมอปล่อยให้แฝดคนแรกอยู่ในความดูแลของพยาบาลและรีบรุดมาช่วยทำคลอดแฝดน้องกับฉันทันที แฝดน้องใช้ระยะเวลาในการเบ่งนานและคลอดยากกว่าแฝดพี่ หลังจากที่คุณหมอทำคลอดเสร็จ เด็กไม่ขยับ ไม่ร้อง สีผิดซีด คุณหมอต้องกระตุ้นจนร้องและประเมิน apgar score 6,8 และคุณหมอเปลี่ยนจากที่จะใส่ท่อช่วยหายใจแฝดพี่มาใส่แฝดน้องแทน แฝดน้องคลอด 01.10 น. นน. 900 กรัม หลังจากแฝดน้องใส่ท่อช่วยหายใจเสร็จดูแล keep warm ให้อบอุ่น และคุณแม่คลอดรกเสร็จ ความดันปกติ มดลูกหดรัดตัวดี ให้ยากระตุ้นมดลูกและรีบทำการส่งต่อลูกทั้งสองและมารดาไปยังโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ด้วยความเร่งด่วน โดยรถ refer โรงพยาบาลโนนคูณพร้อมฉันและน้องพยาบาลอีกคน ถึงโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ด้วยความปลอดภัย ฉันไม่รู้ว่าต้องขอขอบคุณโชคชะตาหรือเพราะนี่คือสิ่งมหัศจรรย์ ที่ทำให้คุณแม่และลูกๆของพวกเค้าเกิดรอดและปลอดภัย แต่สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ก็คือ การทำงานเป็นทีม ไม่ใช่เฉพาะทีมจากโรงพยาบาลโนนคูณเท่านั้น แต่หมายถึงทีมจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสำโรงด้วยที่ช่วยทำให้ภารกิจของพวกเราสำเร็จไปได้ด้วยนี้
ฉันอดถามตัวเองว่า ถ้าคุณแม่ให้ความสำคัญกับการมาฝากครรภ์ตามกำหนด เราคงรู้ว่าตั้งครรภ์แฝด และแพทย์ก็จะได้วางแผนการรักษาที่เหมาะสม มากกว่าที่เด็กจะต้องมาเกิดแบบรอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับโชคชะตา
งานห้องคลอด
โรงพยาบาลโนนคูณ
อ่านแล้วลุ้นไปด้วย อย่างไรก็ตามก็ต้องขอบคุณมากสำหรับความพยายามอย่างเต็มที่ หน้าที่มาก่อนความเหนื่อยอ่อนเสมอครับ คุณ Nonkhoon นี่ล่ะครับที่เขาเรียกว่า ความดียังมีอยู่ในจิตใจเราเสมอ
ขอบคุณมากมายนะค่ะครูหยุย สำหรับกำลัง สิ่งนี้คือพลังให้ชาวโนนคูณยืนยัดด้วยความภาคภูมิใจค่ะ
สมัยก่อน อยู่ สำโรง เคยไป โนนคูน 2 ครั้ง
ดีใจที่มีคนรู้จักโนนคูณ อย่างน้อยก็คุณศุภรักษ์
อยากบอกว่าคนโนนคูณยินดีต้อนรับทุกคน ทุกท่านเสมอ