การศึกษากับสังคมไทยในรอบ 30 ปี
ถ้าพูดถึง “การศึกษากับสังคมไทยในรอบ 30 ปี” ผมจะแยกเป็น 2 ประเด็น คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภาคการศึกษา และการศึกษากับสังคมไทย โดยมี 7 หัวข้อ
ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามปฏิรูปการศึกษา 2 ครั้งคือในปี 2517 และปี 2540 ถึงแม้จะพยายามปฏิรูปใหม่ แต่สิ่งที่เห็นในขณะนี้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการปฏิรูปการศึกษาในปี 2517 นั่นคือความล้มเหลว
ทำไมการปฏิรูปการศึกษาในสังคมไทยจึงล้มเหลว ผมคิดว่าจะปฏิรูปการศึกษาสำเร็จได้ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ไม่ปรากฏในการปฏิรูปทั้งสองครั้งที่ผ่านมา
เงื่อนไขที่ 1 การปฏิรูปการศึกษาต้องมีฉันทมติว่าด้วยคำถามและคำตอบพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิรูป ซึ่งอย่างน้อยต้องเป็นที่ยอมรับของสังคมส่วนรวม จะปฏิรูปอะไร อย่างไร เพื่อใคร นี่คือคำถามพื้นฐานของการปฏิรูปซึ่งคำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบอันเป็นที่ยอมรับร่วมกัน เมื่อไม่มีคำตอบ การผลักดันกระบวนการปฏิรูปจึงยากมาก
เงื่อนไขที่ 2 การปฏิรูปการศึกษาจะต้องมีพลังของการปฏิรูป สิ่งที่เห็นในปี 2517 และ ปี 2540 คือสังคมไทยยังขาดพลังนี้ ต่างจากการปฏิรูปการเมืองซึ่งเกิดผลผลิตคือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะดีหรือเลวอย่างไร แต่มันมีพลังเพราะมีเป้าหมายชัดเจนว่าไม่ต้องการให้กลุ่มยียาธิปไตยยึดอำนาจรัฐเนื่องจากสังคมไทยถูกครอบงำโดยกลุ่มยี้ การเมืองเป็นระบบยียาธิปไตยอันเป็นระบบการปกครองของพวกยี้ โดยพวกยี้ และเพื่อพวกยี้ เป้าหมายที่ชัดเจนนี้ทำให้การปฏิรูปการเมืองปี 2540 ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ตรงข้ามกับการปฏิรูปการศึกษาซึ่งขาดพลัง
เงือนไขที่ 3 การปฏิรูปการศึกษายังต้องการ Institutional Design ที่ดี ระดับการศึกษาจะต้องมีการออกแบบเชิงสถาบันที่เหมาะสม เรื่องนี้ถ้าไม่มี Optimal Institutional Design ก็อยากจะปฏิรูปสำเร็จ
ถ้ายังไม่มีฉันทมติว่าเราจะปฏิรูปอะไร ปฏิรูปอย่างไร ปฏิรูปเพื่อใคร รวมถึงไร้พลังการปฏิรูป ตลอดจนขาดการออกแบบเชิงสถาบันที่เหมาะสมที่จะผลักดันกระบวนการปฏิรูปแล้ว การปฏิรูปการศึกษาจะไม่มีวันสำเร็จ
ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมายังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกด้านคือ การเปลี่ยนแปลงปรัชญาการศึกษา โดยปรัชญาการศึกษาในฐานะสาขาวิชามีความด้อยพัฒนามากในสังคมไทย ขณะที่ปรัชญาการศึกษาในระบบราชการก็แทบไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงว่า จะจัดการศึกษาอะไร จะจัดการศึกษาอย่างไร และจะจัดการศึกษาเพื่อใคร แต่การเติบโตของการศึกษาทางเลือกในภาคประชาชนได้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของปรัชญาการศึกษา การศึกษาทางเลือกได้เสนอคำถามและคำตอบพื้นฐานของการศึกษาที่แตกต่างจากปรัชญาการศึกษาทางการ
สังคมไทยใน 30 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงปรัชญาการศึกษาที่สำคัญอย่างน้อย 3 กระแส คือ ปรัชญาการศึกษาทางการ ปรัชญาการศึกษาตลาด และปรัชญาการศึกษาทางเลือก
ปรัชญาการศึกษาทางการสามารถศึกษาได้จากความคิดของบรรดาเทคโนแครตด้านการศึกษา และแนวความคิดพื้นฐานที่อยู่ในข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาในปี 2517 และปี 2540 รวมถึงสิ่งที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะอย่างยิ่งฉบับปี 2517 และปี 2540
คงจำได้ว่า หลังเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเดือนตุลาคม 2516 มีการชูปรัชญาการศึกษาเพื่อมวลชน อย่างน้อยนี่เป็นคำตอบต่อคำถามที่ว่าจะปฏิรูปการศึกษาเพื่อใคร คำตอบหลังตุลาคม 2516 คือจะปฏิรูปการศึกษาเพื่อมวลชน แต่ปรัชญาการศึกษาเพื่อมวลชนถูกชูขึ้นท่ามกลางกระแสโลกที่ Keynesian Consensus หรือ ฉันทมติว่าด้วยเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์กำลังเสื่อมอิทธิพล คือหลังเกิด Oil Shock ในปี 2516-2517 ฉันทมติว่าด้วยเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ซึ่งเป็นกระวนทัศน์สำคัญที่ครอบงำการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจโลก แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองก็ถุงจุดเสื่อมถอย และอาจมรณกรรมในปีนั้น
การเน้นบทบาทรัฐในการจัดการศึกษาปรากฏชัดเจน ทั้งในข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาปี 2517 และปี 2540 ต่างเพียงว่าข้อเสนอปี 2540 ยอมรับบทบาทของภาคประชาชนในการจัดการศึกษาแบบผิวเผิน เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2517 และปี 2540 ก็ปรากฏบทบาทรัฐในการจัดการศึกษาอย่างชัดเจน โดยรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ยอมรับบทบาทของประชาชนและชุมชนค่อนข้างผิวเผินเช่นกัน สรุปคือปรัชญาการศึกษาทางการได้รับอิทธิพลจาก Keynesian Consensus อย่างชัดเจน
ควบคู่กับปรัชญาการศึกษาทางการคือปรัชญาการศึกษาตลาด ขณะที่ปรัชญาการศึกษาทางการได้รับอิทธิพลจาก Keynesian Consensus แต่ปรัชญาการศึกษาตลาดกับได้รับอิทธิพลจาก Washington Consensus นี่เป็นความแตกต่างสำคัญในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปรัชญาการศึกษาตลาดมีส่วนเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าภาคการศึกษาไทยมากอย่างไม่อาจปฏิเสธไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ปรัชญาการศึกษาตลาดเติบโตและแผ่ขยายอิทธิพลตามการเติบโตของระบบทุนนิยมและ Academic Capitalism รวมถึงกระแสสากลานุวัตร
ท่ามกลางกระแสของปรัชญาการศึกษาทางการและปรัชญาการศึกษาตลาด ปรัชญาการศึกษาทางเลือกก่อเกิดจากปฏิกิริยาที่มีต่อปรัชญาการศึกษาทั้งสอง ปรัชญาการศึกษาทางเลือกมีคำถามและคำตอบพื้นฐานในการจัดการศึกษาแตกต่างจากปรัชญาการศึกษาทางการและปรัชญาการศึกษาตลาด ทั้งในเรื่องจะจัดการศึกษาอะไร จะจัดการศึกษาอย่างไร และจะจัดการศึกษาเพื่อใคร เท่าที่เข้า เป้าหมายสูงสุดของปรัชญาการศึกษาทางเลือกต้องการให้มนุษย์มีอิสระและเสรีภาพ
การเติบโตของระบบทุนนิยมวิชาการ หรือ Academic Capitalism เกิดขึ้นจากกระบวนการแปรสรรพสิ่งให้เป็นสินค้า ซึ่งกระบวนนี้ทำให้ การศึกษา งานวิจัยและการให้คำปรึกษากลายเป็นสินค้า สิ่งเหล่านี้คือสาเหตุพื้นฐานของการก่อเกิดและเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนระบบทุนนิยมวิชาการ
Marketization เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ การผลิตบริการการศึกษาเพื่อขายปรากฏอย่างมากในระดับอุดมศึกษา แต่ในระดับการศึกษาที่ต่ำลงมาจะมีน้อยกว่า กระบวนการผลิตบริการอุดมศึกษาเพื่อขายเป็นกระบวนการที่เร่งเร้าการเติบโตของระบบทุนนิยมวิชาการ
และท้ายสุดคือ McDonaldization หรือกระบวนการแมคโดนัลดานุวั้ตร ผมอาจใช้ศัพท์ไม่ตรงตามหลักบาลี แต่สมัยนี้บาลีสันสกฤตไม่สำคัญแล้วในโลกอินเทอร์เน็ต กระบวนการเมคโดนัลดานุวัตรคือการให้บริการแบบแดกด่วย โดยเวลานี้สถาบันอุดมศึกษาไทยทั้งของรัฐและเอกชนต่างให้บริการแบบนี้ เป็นบริการอุดมศึกษาที่มีลักษณะ Fast Education
ทั้ง Academic Capitalism, Marketization และ McDonaldization มีส่วนอย่างมากในการกระตุ้นการเติบโตของระบบทุนนิยมวิชาการในสังคมไทย ผมคิดว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก เพราะเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเดือนตุลาคมปี 2516 เราพูดไม่ได้เลยว่าขณะนั้นระบบการศึกษาไทยมีลักษณะ Academic Capitalism แต่ตอนนี้ปี 2546 เราพูดได้ค่อนข้างชัดเจนว่าระบบทุนนิยมวิชาการดำรงอยู่ และมีพลวัตการเติบโตที่สูงยิ่ง
สังคมไทยสามารถหลีกเลี่ยงระบบทุนนิยมวิชาการได้หรือไม่ ผมไม่คิดว่าสังคมไทยซึ่งเลือกเส้นทางการพัฒนาแบบทุนนิยม และเดินตาม Washington Consensus จะหลีกเลี่ยงการเดินไปสู่ระบบทุนนิยมวิชาการได้
การเติบโตของระบบทุนนิยมวิชาการส่งผลกระทบสำคัญต่อคนจนในระบบการศึกษา เมื่อบริการการศึกษาเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายในตลาด คนที่จะบริโภคบริการการศึกษาได้คือคนที่มีอำนาจซื้อ ส่วนคนที่ไม่มีอำนาจซื้อก็ไม่สามารถบริโภคได้ สภาพการที่เป็นอยู่นี้ส่งผลกระทบต่อการกระจายรายได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ระบบทุนนิยมวิชาการยังทำให้การเปิดรับกระแสสากลานุวัตรของการศึกษามีมากกว่าปกติ
ประเด็นสำคัญที่ผมอยากเสนอในหัวข้อที่ 4 คือ การมรณกรรมของหน่วยเสนาธิการการศึกษา ในยุคปฏิวัติของ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ สิ่งที่สฤษดิ์นำมาใช้ในระบบราชการคือการก่อตั้งหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่เสนาธิการในด้านต่างๆ ไม่ว่าสภาพัฒน์ สำนักงบประมาณ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ต่อมาก็มีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สภาการศึกษา ก.พ. หน่วยงานเหล่านี้ทำหน้าที่ว่างแผน เสริมกำลังพลในระบบราชการ เป็นต้น
ช่วงเวลาเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา หน่วยราชการซึ่งทำหน้าที่เสนาธิการต่างมีอันเป็นไป บางกระทรวงจึงใช้วิธีการจัดตั้งสถาบันขึ้นใหม่ อย่างสถาบันนโยบายเศรษฐกิจการคลังก็แยกออกจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังซึ่งเวลานี้หมดศักยภาพในการนำเสนอนโยบายการเงิน การคลัง
ด้านการศึกษา สภาการศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติคือหน่วยเสนาธิการ ส่วนทบวงมหาวิทยาลัยและกระทรวงศึกษาธิการต่างก็มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับนโยบายเช่นกัน ช่วงแรกหน่วยงานเหล่านี้ได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศทำให้มี่พลวัติและศักยภาพชี้นำนโยบายการศึกษาในบางเรื่องได้ แต่หลังตุลาคม 2516 เราได้เห็นการเสื่อมถอยของหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่วิจัยศึกษาและกำหนดนโยบายการศึกษา กระทั่งเวลานี้ก็ยังไรทางออกและไม่มีการปรับตัว
ผมเชื่อว่าความเสื่อมถอยของภาคการศึกษาในสังคมไทย ส่วนหนึ่งเกิดจากความด้อยพัฒนาของหน่วยเสนาธิการ จริงอยู่ที่ความด้อยพัฒนาของภาคการศึกษาส่วนหนึ่งเกิดจากสมาชิกในภาคการศึกษาเอง แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับนโยบายการศึกษาที่ชี้ปัญหาของภาคการศึกษาและเสนอวิธีแก้ ดังนั้น สิ่งที่เราได้เห็นในวาระครบรอบ 30 ปี ตุลาคม 2516 ก็คือการมรณกรรมของหน่วยเสนาธิการการศึกษา
น่าเศร้ามากที่ยังไม่มีความพยายามแก้ปัญหานี้ ขณะที่หน่วยราชการอื่นพยายามแก้ปัญหาด้วยการดึงองค์กรที่ทำหน้าที่เสนอนโยบายออกจากระบบราชการ
30 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความเสื่อมถอยของเทคโนแครตด้านการศึกษาโดยความเสื่อมถอยที่สำคัญก็คือการละเลยความสนใจเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยด้านนโยบาย ผมคิดว่ามันถึงจุดอับตันแล้ว เวลานี้สภาการศึกษาให้ความสนใจกับงานประชาสัมพันธ์มากกว่าการวิจัยด้านนโยบาย การสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ผมไม่หวังว่าในระบบราชการจะมีใครมาชี้นำด้านนโยบายการศึกษาในอนาคตได้
ผมคิดว่าการบริหารจัดการระบบการศึกษายังไม่เป็นไปตามหลักธรรมภิบาล (Good Governance) ขาดความโปร่งใส (Transparency) ขาดการมีส่วนร่วม (Participation) และขาดความรับผิดชอบ (Accountability)
หลักธรรมาภิบาลไม่ปรากฏในข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาปี 2517 แต่ปรากฏบ้างในข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาปี 2540 ธรรมาภิบาลไม่ใช่การร่างกฎหมาย แต่เป็นวัฒนธรรม ถ้าหน่วยงานที่ข้องเกี่ยวกับการศึกษาไม่มีวัฒนธรรมธรรมาภิบาล มันก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
ธรรมาภิบาลเป็น Public Good ถ้าธรรมาภิบาลเกิดขึ้น สมาชิกของสังคมไทยทุกคนจะได้ประโยชน์จากธรรมภิบาลด้วยกัน แต่ใครจะรับภาระต้นทุนในการผลักดันให้มันเกิดขึ้น เมื่อประโยชน์ที่ได้จากธรรมภิบาลไม่ใช่ประโยชน์ในลักษณะ Private Benefit ของคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ การสถาปนาธรรมาภิบาลในระบบการศึกษาเป็นเรื่องยาก ยิ่งระดับการศึกษาสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่แค่ธรรมาภิบาล แต่ระบบการศึกษายังมีปัญหาด้าน Efficiency
ด้านระบบการคลังเพื่อการศึกษาหรือ Education Finance ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ กล่าวคือเป็นระบบการคลังที่เน้น Supply-side Financing มากกว่า Demand-side financing โดยรัฐจะจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้โรงงานที่ผลิตบริการการศึกษาเช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย มากกว่าจัดสรรเงินให้ผู้เรียน แล้วให้เขาเลือกโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเอง
ระบบการคลังซึ่งเน้น Supply-side financing ขาดกลไกขับเคลื่อนประสิทธิภาพในการผลิตบริการการศึกษา เพราะโรงเรียนกับมหาวิทยาลัยเพียงแต่แบมือของบประมาณแผ่นดิน โดยไม่มีกลไกกดดันให้หน่วยงานที่ผลิตบริการการศึกษาเหล่านี้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ที่สำคัญคือ ระบบ Supply-Side Financing ไม่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีเสรีภาพในการเลือก
สิ่งที่น่าสังเกตประการหนึ่งของระบบการคลังเพื่อการศึกษาใน 30 ปีที่ผ่านมาคือความเชื่อว่า นโยบายค่าเล่าเรียนอัตราต่ำเป็น Optimal Policy ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ผู้บริหารนโยบายการศึกษา และสังคมไทยโดยทั่วไปเชื่อว่านโยบายค่าเล่าเรียนอัตราต่ำคือนโยบายในระดับอุตมภาพที่เหมาะสม โดยไม่ดูข้อเท็จจริงว่าใครได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ เราโดนล้างสมองอย่างผิดๆ ว่ามันคือนโยบายที่ให้ประโยชน์กับคนจน แต่ถามว่ามีคนจนกี่คนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบบการศึกษาที่ยึดอยู่กับนโยบายค่าเล่าเรียนอัตราต่ำทำให้คนจนถูกคัดออกตั้งแต่ระดับประถมศึกษาและไม่มีทางเข้าสู่การศึกษาในระดับที่สูงขึ้น
ผมคิดว่ามนตราหรือคาถาที่ว่านโยบายค่าเล่าเรียนอัตราต่ำเป็นนโยบายที่ดีเลิศยังฝังตัวในสังคมไทย ถ้าไม่ลบล้างมนตรานี้ เราก็ไม่มีทางจะปฏิรูประบบการคลังเพื่อการศึกษาได้เป็นธรรมขึ้นได้ สิ่งที่คนจนต้องการคือทุนการศึกษาไม่ใช่ค่าเล่าเรียนอัตราต่ำ แต่รัฐบาลก็ยังไม่จัดระบบให้ทุนการศึกษากับคนจน
ในระบบการศึกษาปัจจุบันผมคิดว่ารัฐควรจัดสรรทรัพยากรแผ่นดินให้ Target Group เพียง 2 กลุ่ม คือ คนจนกับคนเก่ง สองกลุ่มนี้เท่านั้นที่มีเหตุผลให้รัฐจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา ส่วนกลุ่มอื่นๆ ในสังคมต้องรับภาระต้นทุนการศึกษาเอง
ระบบการคลังเพื่อการศึกษาในปัจจุบัน ผู้เรียนระดับบัณฑิตศึกษา และโครงการพิเศษต้องรับภาระตาม Average Operating cost แต่ผู้เรียนระดับต่ำลงมาสังคมต้องรับภาระตามสัดส่วนต่างๆ ระบบที่เป็นอยู่จึงไม่ได้ทำให้ตลาดการศึกษากลายเป็นตลาดที่แท้จริง
จริงอยู่ Academic Capitalism กำลังเติบโตในสังคมไทย ส่วน Marketization และ McDonaldization ก็กำลังเติบโตอย่างมากในระดับอุดมศึกษาของรัฐ แต่สิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้ได้นำไปสู่ตลาดการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดอุดมศึกษาให้กลายเป็นตลาดครึ่งๆ กลางๆ ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Quasi-Market
กล่าวคือการจัดการศึกษาแบบบัณฑิตศึกษาและการศึกษาโครงการพิเศษมหาวิทยาลัยของรัฐจะเก็บค่าเล่าเรียนเต็มตามต้นทุนการผลิต รายได้จาการเก็บค่าเล่าเรียน มีเศษส่วนคือผู้บริหารและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย แต่การศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยยังแบบมือของบประมาณแผ่นดิน ซึ่งในโครงการที่มหาวิทยาลัยเก็บค่าเล่าเรียนเต็มตามต้นทุนการผลิตไม่สามารถแยกแยะได้ว่าไม่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแผ่นดิน ดังนั้น การศึกษาจึงมีลักษณะตลาดครึ่งๆ กลางๆ โดยวิธีที่จะขจัดลักษณะ Quasi-Market และทำให้ตลาดได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่คือ ก.พ. ต้องเลิกรับรองปริญญาของมหาวิทยาลัยของรัฐ
กระแสสากลานุวัตรของการศึกษาเกิดขึ้นพร้อมยุทธศาสตร์การพัฒนา เมื่อรับไทยเลือกเดินบนเส้นทางยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบเปิด ซึ่งเริ่มต้นในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่อาจมีช่วงเบี่ยงเบนบ้าง เช่น ระหว่างปี 2515 ถึง 2519 ทว่าโดยหลักๆแล้ว สังคมเศรษฐกิจไทยเดินไปบนเส้นทางยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบเปิด และเปิดมาขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา
เราจะพบว่าชนชั้นสูงเปิดรับกระแสสากลานุวัตรของการศึกษา โดยชนชั้นต่ำไม่คัดค้านขัดขวาง ซึ่งในอนาคตกระแสสากลนานุวัตรของการศึกษาจะมีมากขึ้น เนื่องจาก General Agreement on Trade in Services ของ WTO กำลังกลายเป็นระเบียบการค้าใหม่ของโลก GATS ภายใต้ WTO จะทำให้กระแสสากลานุวัตรถาโถมสู่สังคมไทยมากว่าเดิม ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นกระแสที่เราจำเป็นต้องสนใจศึกษา
บทความของ รังสรรค์ ธนพรพันธุ์ จาก OCTOBER 3 ชื่อหนังสือ ROBERTS
มาเยี่ยมชมผลงานครับ
สวัสดีครับอาจารย์ ผมสุรศักดิ์ จันทะนาม นักศึกษา ป.โท รุ่นที่ 2 ขอเยี่ยมชมผลงานของอาจารย์ครับ และลองใช้ planet ของอาจารย์
วันนี้มาเยี่ยมเยียนผลงาน
ดีครับ..ความรู้เน้นๆ.... พัฒนาการ หรือพัฒนาคลาน..