คนทั่วไปมักเข้าใจว่า ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์จะไม่แข็งแรง และเป็นโรคขาดอาหาร แต่ความเป็นจริงปรากฏว่า คนที่กินอาหารมังสวิรัติ มีสุขภาพสมบูรณ์กว่า และไม่เป็นโรคขาดอาหาร กลับจะเป็นโรคน้อยกว่าด้วย เช่น โรคหัวใจวาย โรคมะเร็ง โรคพยาธิ และติดเชื้อจากสัตว์ อาหารมังสวิรัติไม่แตกต่างจากอาหารที่คนเรากินทั่วๆไปมากนัก เพียงแต่นักมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ เขากินถั่วต่างๆ แทน เช่น ถั่วลิสง และ ถั่วเหลืองถั่วแดง ถั่วเขียวหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เต้าหู้ และนมถั่วเหลืองเป็นต้น ข้อมูลจาก www.organicThailand,com ได้กล่าวถึง โภชนาการอาหารมังสวิรัติว่า นักวิจัยในสหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบว่าเนื้อสัตว์ต่างๆที่คนนำมาบริโภค มียาฆ่าแมลงมากกว่าพืชผัก บางทีมากกว่าถึง 13 เท่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะสัตว์ต่างๆ ก็กินพืชผัก หรือหญ้าที่มียาฆ่าแมลงเข้าไป ยิ่งอายุของสัตว์ยืนนานเท่าใด ก็ยิ่งสะสมไว้มากเท่านั้น
การกินอาหารมังสวิรัติที่ถูกหลักจะปลอดภัย ไม่มีปัญหาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และทำได้ง่ายๆโดยการกินอาหาร 4 ประเภทต่อไปนี้ 1. ธัญพืช ( ข้าวชนิดต่างๆ) 2. ผัก 3. ผลไม้ 4.ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วลิสง หรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ( นมถั่วเหลือง) ฟองเต้าหู้หรือโปรตีนเกษตร ( เนื้อเทียม) หมี่กึน หรือ Gluten ( ส่วนไขมันไม่ต้องห่วงเพราะมีอยู่แล้วในอาหารประเภทนี้) ปัจจุบันเมืองไทยเรายังมีเด็กและผู้ใหญ่เป็นโรคขาดอาหาร การกินอาหารมังสวิรัติจะเป็นวิธีหนึ่งที่แก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร เพราะอาหารพืชผักและถั่ว ราคา ถูกกว่าเนื้อสัตว์ โปรตีนในถั่วเหลืองราคาถูกกว่าโปรตีนในเนื้อวัว ประมาณ 6 เท่า เช่น เนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 60 บาท ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม ประมาณ 20 บาท แต่ให้โปรตีนเป็น 2 เท่าของเนื้อสัตว์ และมีคุณภาพทางโปรตีนเท่าเทียมกัน ( เมื่อกินข้าวด้วย) ถ้าคนมีรายได้น้อยจะเลิกเห่อหรือหลงค่านิยมของการกินเนื้อสัตว์ ที่ต้องเอาเงินที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก ไปซื้อหาเนื้อหรือหมูที่มีราคาแพงมากิน และหันมาพึ่งถั่วเหลืองหรือถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ก็จะได้อาหารที่มีประโยชน์ในราคาประหยัดกว่า และเขาจะได้อาหารที่เพียงพอ ไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออย่างเช่นทุกวันนี้ จะเป็นการประหยัด และช่วยไม่ให้เป็นโรคขาดสารอาหารด้วย เป็นการสนองตอบนโยบายของรัฐบาล ที่ปราถนาให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีสุขภาพดีและมีความสุขโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
รายงานผลการวิจัยทุนอุดหนุนวิจัยมก.ประจำปี2539 โครงการวิจัย ท-อ 5.39 ได้กล่าวถึง เนตรนภิส วัฒนสุชาติ นักวิจัยของสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่า ได้ทำการศึกษาวิจัยการประเมินคุณค่าทางโภชนาการของอาหารมังสวิรัติ ในการแนะนำแนวทางการบริโภคอาหารมังสวิรัติอย่างถูกหลักโภชนาการ นักโภชนาบำบัดจำเป็นต้องประเมินสถานภาพทางโภชนาการของผู้บริโภคมังสวิรัติว่า อาหารที่บริโภคนั้นประกอบด้วยสารอาหารที่สำคัญ ๆ เช่น โปรตีนที่มีคุณภาพ วิตามินบีรวม โดยเฉพาะบี 12 แคลเซี่ยม และธาตุเหล็กมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือไม่ รวมทั้งสังเกตลักษณะอาการที่อาจแสดงถึงภาวะขาดสารอาหาร เช่น ผิวซีดเหลือง อ่อนเพลีย และปวดศรีษะ เพราะขาดธาตุเหล็ก ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเล็กลง ในงานวิจัยนี้มีวิธีการประเมินคุณค่าอาหารทางโภชนาการที่นิยมมี 2 วิธี คือ การวิเคราะห์สารอาหารที่เป็นองค์ประกอบโดยวิธีทางเคมี และการคำนวณจากตารางคุณค่าอาหาร พบว่าพลังานรวมของอาหารมังสวิรัติทุกกลุ่มที่หาได้จากการวิเคราะห์ทางเคมี มีค่าไม่แตกต่างจากค่าที่ได้จากการคำนวณอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ปริมาณไขมันของอาหารทั้งหลาย และอาหารชุดมื้อเย็นเท่านั้นที่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ สรุปเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆก็คือ อาหารมังสวิรัติทุกกลุ่มมีคุณค่าพลังงานรวมที่คล้ายคลึงกันจะแตกต่างกันก็คือปริมาณไขมันของอาหารชนิดต่างๆนั่นเอง
ดังนั้นการรับประมานมังสวิรัคิที่ถูกต้องตมหลักโภชนาย่อมไม่ขาดสารอาหารแน่นอนค่ะ พูดกันง่ายๆคืออาหารปกติและมังสวิรัติมีคุณค่าไม่แตกต่างกัน หากเข้าใจศึกษาแล้วจึงจะทราบว่ากินมังสวิรัติดีกว่ากินอาหารเนื้อสัตว์ปกติ
อย่างแน่นอนที่สุดค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากคุณ อรุณวรรณ เก้าเอี้ยน
ขอบคุณมากครับที่ได้ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตครับ