พุงปลาขี้เดเทียม
ครูไพฑูรย์ ศิริรักษ์ วิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน มหาวิทยาลัยทักษิณ
แกงพุงปลา ถือได้ว่าเป็นตำรับอาหารพื้นบ้านจานโปรดของพี่น้องชาวใต้ โดยทั่วไปพุงปลา หรือ ไตปลา ได้จากการเอาส่วนพุงของปลาทะเลหรือปลาน้ำจืด(กระเพาะ-ตับ-กระบังลม-ดี) พุงปลาปลาทะเลที่นิยมใช้ เช่น ปลาทู ปลารัง ปลาอินทรีย์ ปลาโอ ปลาตาโต ปลาตาหวาน ฯลฯ และพุงปลาน้ำจืดที่นิยมใช้ เช่น ปลาช่อน ปลาหมอ ปลาสลิด และปลากระดี่(ซึ่งเป็นพุงปลายอดนิยม)นำ มาหมักกับเกลือตามสัดส่วนที่เหมาะสมใส่ขวดปิดฝาตากแดดทิ้งไว้ ๑๕-๓๐ วัน จึงสามารถนำมาแกงหรือปรุงอาหารได้ การทำพุงปลานับเป็นภูมิปัญญาการถนอมอาหารของชาวใต้ที่อาศัยอยู่แถบถิ่นชายทะเล และอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
การทำพุงปลาขี้เดเทียมเกิดจากวาบความคิดที่ได้หัวปลา(ตาโต)จากอาจารย์สนิท ตู้เซ่ง เจ้าของกิจการขนมปั้นขลิบ ในตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ที่ทำขนมปั้นขลิบไส้กุ้งและไส้ปลา ส่งจำหน่ายในหลายจังหวัดของภาคใต้เดือนละนับแสนกิโลกรัม ในการทำขนมไส้ปลาของร้านขนมที่นี่ จะใช้เนื้อปลาทูตาโตซึ่งเป็นปลาทะเลที่มีเนื้ออร่อยมาทำเป็นไส้โดยแล่เอาแต่ส่วนเนื้อ ส่วนหัวและก้างจึงเป็นเศษวัสดุเหลือทิ้ง และในส่วนหัวปลาที่ได้มายังมี “พุงปลา” ติดมาด้วยทุกครั้ง เมื่อได้หัวปลาทูตาโตจากโรงขนมจึงแยกเอาส่วนหัวปลาหมักเกลือทำเป็น “บูดู” แยกส่วนพุงนำมาหมักเกลือ ทำ “พุงปลา” เก็บไว้บริโภคต่อไป
ในการทำพุงปลาจะทำเป็นพุงปลา “ขี้เดเทียม” จะมีวิธีการทำดังนี้
แกงพุงปลา
แกงพุงปลา ถือได้ว่าเป็นตำรับอาหารพื้นบ้านจานโปรดของพี่น้องชาวใต้ หรือภาคอื่นๆที่หลงใหลในเสน่ห์ของอาหารภาคใต้ “พุงปลา” หรือที่ภาษากลางเรียกว่า “ไตปลา”
พุงปลา หรือ ไตปลา ได้จากการเอาส่วนพุงของปลา( กระเพาะ-ตับ-กระบังลม-ดี ) พุงปลาที่นิยมใช้เป็นพุงของปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลารัง ปลาอินทรีย์ ปลาโอ ปลาตาโต ปลาตาหวาน ฯลฯ หรือจะใช้พุงของปลาน้ำจืด เช่น ปลาช่อน ปลาหมอ ปลาสลิด และปลากระดี่(ซึ่งเป็นพุงปลายอดนิยม) มาหมักกับเกลือใส่ขวดปิดฝาตากแดดทิ้งไว้ ๑๕-๓๐ วัน จึงสามารถนำมาปรุงอาหารได้ นับเป็นภูมิปัญญาการถนอมอาหารของชาวใต้ที่อาศัยอยู่แถบถิ่นชายทะเล และอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
แกงพุงปลาของชาวใต้ มีหลายสูตรหลายแบบแล้วแต่ถิ่นนิยม บางถิ่นแกงใส่กะทิ เรียก “แกงพุงปลา” บางถิ่นแกงแบบไม่ใส่กะทิแต่ทอด(ใส่)ปลาย่าง ทอดผักต่างๆ เรียก “แกงน้ำเคย” ซึ่งเป็นแกงประเภทแกงเผ็ด และแกงเผ็ดกับชาวใต้ เป็นแกงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะแกงเผ็ดสามารถนำไปทำเป็นแกงหลากหลาย และเข้ากับเนื้อสัตว์หลายประเภท ผักต่างๆ จึงถือว่าแกงเผ็ดเป็นแม่แกงของแกงอื่นๆ โดยเปลี่ยนสมุนไพรหรือวัสดุเครื่องแกงบางอย่างจะกลายเป็นแกงต่างๆ แกงเผ็ดแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ
แกงเผ็ดที่ไม่ใส่กะทิ เรียกว่า แกงป่า และแกงเผ็ดที่ใส่กะทิและใช้พริกแห้งมีสีแดง เรียกว่า แกงเผ็ด
แกงเผ็ดจะอร่อยหรือไม่สำคัญอยู่ที่การปรุงและการทิ่มเครื่อง ต้องปรุงให้ถูกส่วน ทิ่ม(ตำ/โขลก)เครื่องให้ละเอียด
สูตรเด็ดเครื่องแกงเผ็ด(แกงกะทิ)บ้านเรา ประกอบด้วย พริกขี้หนูสวน ๕๐ กรัม,พริกไทย ๒๐ กรัม ,กระเทียม ๕๐ กรัม,ตะไคร้ ๒๐ กรัม,ขมิ้น ๕๐ กรัม และกะปิแกง ๕๐ กรัม
หรือสูตร "แกงกะทิพุงปลาใส่ปลาย่าง"
เครื่องปรุงประกอบด้วย
พุงปลา ๕ ช้อนโต๊ะ ปลาดุก หรือปลาช่อนขนาดกลางย่าง ๑ ตัว
มะพร้าวขูด ๑/๒ กิโลกรัม ใบมะกรูด ๓-๔ ใบ
เครื่องแกง
พริกขี้หนูสด ๒๐-๓๐ เม็ด พริกไทยเม็ด ๑ ช้อนโต๊ะ
หอมแดง ๓ หัว กระเทียม ๑ หัว
ขมิ้น ๑ ข้อมือ ข่า ๕ แว่น
ตะไคร้ ๒-๓ ต้นหั่นฝอย กะปิอย่างดี ๑ ช้อนโต๊ะ
วิธีการปรุง
๑. ทิ่ม(ตำ/โขลก)เครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด เว้นกะปิใส่ลงหลังจากตำเครื่องแกงละเอียดแล้ว
๒. ต้มพุงปลากับน้ำ ๑/๒ ถ้วย พอพุงปลาละลายแล้ว กรองเอาแต่น้ำ
๓. เอาน้ำพุงปลาที่กรองแล้วตั้งไฟ ใส่เครื่องแกง
๔. เครื่องแกงละลายดีแล้ว ใส่เนื้อปลาย่าง ใส่กะทิ เติมน้ำให้พอเหมาะ
๕. พอเดือดดีแล้ว ฉีกใบมะกรูดใส่ ปิดไฟ เสิร์ฟพร้อมผักเหนาะ เช่น ลูกเหรียง ลูกเนียงอ่อนลูกสะตอ ถั่วพู ถั่วฝักยาว ยอดยาร่วง ยอดตอเบา หรือยอดหมรุย
ไม่มีความเห็น