แนวคิด หลักการเกี่ยวกับนโยบาย (ฉบับที่ 1 )
นโยบายที่กำหนดขึ้นในสังคมหรืดองค์การใด ๆ นั้น ก็เพื่อเป็นแนวคิดในการดำเนินงานเพื่อสนองความต้องการหรือความประสงค์ของบุคคล ในองค์การนั้น และ ลักษณะของนโยบายก็จะสอดคล้องกับความเชื่อและลัทธิการปกครองขององค์การนั้น องค์การที่มีระบอบการปกครองของประชาธิปไตยนโยบายที่กำหนดขึ้นมักจะได้ข้อมูลและมีการกลั่นกรองข้อมูลจากบุคคลหลายฝ่าย และลัทธิการปกครองแบบอัตตาธิปไตยนโยบายท่กำหนดมักจะทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการของบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกลุ่มชนชั้นปกครอง และข้อมูลของนโยบายมักจะได้จากเหตุผลของคนกลุ่มเดียว อย่างไรก็ตามไม่ว่าสังคมหรือองค์การจะมีลักษณะการปกครองหรือรูปแบบในการบริหารเป็นเช่นไร การกำหนดนโยบายย่อมต้องมีขั้นตอนและเป็นกระบวนการ อันนำมาซึ่งนโยบาย กุศโลบายในการดำเนินงานที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ของการบริหารและนโยบายท่กำหนดขึ้นจะต้องเป็นที่รับทราบและยอมรับจากบุคคล ฝ่าย ภายในหน่วยงานต้องได้รับการผสมผสานเข้าด้วยกันให้เป็นแนวทางกว้าง ๆ เพื่อการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน ที่เราเรียกว่านโยบายในการบริหารงาน
นโยบายและกุศโลบาย
นโยบาย(Policy) และกุศโลบาย(Strategy) เป็นคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันมากเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความตั้งใจของผู้บริหารว่าควรจะทำ หรือไม่ควรทำกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมใด ในอนาคต หรือ ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น และเป็นแนวคิดอันจะนำไปสู่การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพโดยเป็นที่ยอมรับกันว่าหน้าที่อันสำคัญประการแรกของผู้บริหาร คือการกำหนดนโยบายหรือกุศโลบายในการบริหารงาน ซึ่งนโยบายและกุศโลบายจะเป็นตัวที่ให้ทิศทางและข้อมูลในการวางแผน กล่าวคือ
ก.นโยบายและกุศโลบาย ยิ่งได้รับการพัฒนา หรือจัดทำโดยความละเอียดรอบคอบและเป็นที่เข้าใจโดยชัดเจนมากเพียงใด ย่อมทำให้การวางแผนเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากเพียงนั้น
ข.นโยบายและกุศโลบาย เป็นยุทธการ (Tactics) อันสำคัญในการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด
ค.นโยบายและกุศโลบายมีผลอันสำคัญต่อการบริหารงานทุกชนิดและทุกลักษณะงาน
กูดนาว (Frank J. Goodnow) นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายไว้ว่า นโยบายเป็นสิ่งท่ฝ่ายการเมืองเป็นผู้จัดทำขึ้น ส่วนการนำนโยบายไปปฏิบัติ เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร และแนวคิดเช่นนี้ก็ได้รับการสนับสนุนเห็นด้วยจากนักวิชาการรัฐศาสตร์ในยุคต่อมา โดยลินด์บลอม (Charles E. Lindblom) ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า การเมืองทั้งหมดคือกระบวนการทั้งหมดในการกำหนดนโยบาย แลนไบรท์(w. Henry Lambright) ยังได้สนับสนุนการยืนยันอีกว่า การบริหารกิจการของรัฐ คือการกำหนดนโยบายสาธารณธของรัฐนั่นเอง ฟรายดริช (Carl J. Friedrich) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์ววาร์ด ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองการบริหาร และนโยบายดังนี้
- แม้การกำหนดนโยบายจะเป็นหน้าที่หลักของฝ่ายการเมืองและการใช้หรือการปฏิบัติเป็นหน้าที่หลักของฝ่ายบริหาร แต่ทั้งสองฝ่ายก็ต้องมีบทบาทสัมพันธ์ต่อเนื่องกันในการกำหนดนโยบายและปฏิบัติตามนโยบาย
ความคิดดังกล่าวของฟรายดริช สอดคล้องกับแนวความคิดของแอปเปิ้ลบาย (Paul Appleby) ซึ่งมีความเห็นว่า ความคิดที่แยกการบริหารออกจากการเมืองโดยเด็ดขาดนั้นเป็นเรื่องท่ไม่สามารถเป็นไปได้และเป็นแนวคิดท่ตามไปนานแล้ว จึงสรุปได้ว่า การบริหารการเมือง และวางแผนนโยบายเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด
ฐานะของนโยบายและกุศโลบาย
นโยบายในฐานะท่เป็นปรัชญา (Policy as Philosophy)
คำว่าปรัชญามีขอบเขตที่กว้างขวางโดยเกี่ยวพันกับความเชื่อ ความสนใจ ความจริง ค่านิยม และศีลธรรมจรรญาต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความจริง (Reality) หรือความถูกต้อง(Right) โดยอาศัยความเชื่อหรือจรียธรรมโดยสากลเป็นบรรทัดฐานแล้ว น่าจะถือว่า ปรัชญาเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของนโยบาย เพราะนโยบายที่ดีนั้นย่อมต้องกำหนดขึ้นจาก ข้อมูลและเอกสารที่เป็นความจริงและมีความถูกต้อง นอกจากนี้หากเชื่อว่าการบริหารใด ๆ ต้องอาศัยนโยบายที่มีความถูกต้องและมีเหตุผล เป็นหลักอย่างหนึ่งในการดำเนินงานแล้ว อาจสรุปได้ว่า นโยบาบมีฐานะเป็นปรัชญาหรือเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญา
นโยบายในฐานะเป็นอุดมการณ์ (Policy as Ldeology)
อุดมการณ์หรืออุดมคติ หมายถึง ความหวัง หรือจิตนาการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งต้องการให้มีหรือให้เกิดขึ้นโดยถือเอาตนเองเป็นบรรทัดฐาน ส่วนนโยบาย หมายถึง โครงสร้างในการปฏิบัติงานที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้จัดทำขึ้นเพื่อบรรลุถึงความหวัง หรือความต้องการของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้น ฉะนั้นทั้งนโยบายและอุดมการณ์คือแนวคิดหรือความหวังที่ต้องการให้เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นก็อาจถือได้ว่านโยบายนั้นเป็นเพียงจินตนาการหรืออุดมการณ์เท่านั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้วจึงถือได้ว่านโยบายมีฐานะเป็นอุดมการณ์
นโยบายวนฐานะเป็นสังคมศาสตร์ (Policy as Social Seience)
การวิเคราะห์นโยบายในลักษณะนี้ เป็นการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ โดยมีความเห็นว่านโยบายเป็นกระบวนการทางวิชาการของวิชากการที่ว่าด้วยการปกครอง เช่น รัฐศาสตร์ วิชารัฐประศาสนศาสตร์ และวิชาการบริหาร ซึ่งวิชาเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับความเป็นไปในความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม และเป็นวิชาที่จัดอยู่ในหมวดสังคมศาสตร์ส่วนนโยบายหมายถึง แนวทางที่มนุษย์กำหนดขึ้นเพื่อความอยู่ดีมีสุข หรือกำหนดขึ้นเพื่อสนองความต้องการของสังคมโดยส่วนรวม ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่านโยบายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมศาสตร์
นโยบายในฐานะเป็นการวางแผน (Policy as Planning)
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า นโยบายคือแนวทางปฏิบัติการซึ่งระบุมรรควิธี (Means) ระเบียบวินัย(Methods) และหลักการ(Principles) ที่ได้เลือกกำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ต้องการ และการวางแผนคือกระบวนการในการตัดสินใจเลือกสรรแนวทางในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ ความหมายของคำทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันมาก และนโยบายกับการวางแผนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งในลักษณะที่เป็นวัฎจักรและปฏิสัมพันธ์ จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่สรุปได้ว่า นโยบายมีฐานะเป็นการวางแผนด้วย
นโยบายในฐานะเป็นสิ่งน่าประหลาดหรือน่าฉงน (Policy as "Surprise)
นโยบายบางชนิดถูกกำหนดขึ้นในเวลาที่เป็นวิกฤติ ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ความฉงนสนเท่ห์ หรือความประหลาดใจแก่คนทั่วไป นโยบายลักษณะนี้มักจะมีเหตุการณ์คับขันบางอย่างบังคับให้เป็นไปเช่นนั้น คนส่วนใหญ่อาจไม่ชอบและมีความคลางแคลงใจ แต่ต้องปฏิบัติตามเพื่อความสงบสุขของสังคมโดยรวม เช่น นโยบายแบ่งสันปันส่วนน้ำมัน นโยบายการประกาศหรือทำลายสงคราม นโยบายปรับเงินหรือนโยบายอื่นที่เกิดขึ้นโดยเพราะวิกฤติการณ์ต่าง ๆ
ควาหมายของนโยบายและกุศโลบาย
นโยบายและกุศโลบายมีความหมายคล้ายคลึงกันมาก แต่บางสิ่งหรือบางลักษณะท่อาจจจำแนกให้เห้นถึงความแตกต่างกันได้ตามแนวคิดของนักวิชาการการบริหาร ซึ่งรวมไปถึงการให้คำนิยาม หรือคำจำกัดความด้วย
นโยบาย
เป็นคำที่มาจากภาษาบาลี โดยการสมานคำว่า "นย" (เค้าความที่ส่อให้เข้าใจเอาเอง) กับคำว่า"อุบาย" (วิธีการอันแยบคาย,เล่ย์กล,เล่ย์เหลี่ยม) เข้าด้วยกัน และแปลเป็นความได้ว่า หลักและวิธีปฏิบัติซึ่งถือเป็นแนวทางในการดำเนินการ นโยบายเป็นข้อความหรือความเข้าใจตรงกันอย่างกว้าง ๆ ที่ใช้เป็นแนงทางในการตัดสินใจเพื่อการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของผู้บริหารและของหน่วยงาน ข้อความที่ใช้เป็นนโยบายมักเป็นคำท่มีความยือหยุ่น (Flexibility) ได้ เช่น การใช้คำว่าเท่าที่สามารถเป็นได้ เท่าที่สามารถปฏิบัติได้ และภายใต้ภาวะการณ์อันปกติ เพราะนโยบายไม่ใช่แนวทางที่ชี้เฉพาะว่าจะต้องปฏิบัติเช่นนั้นเช่นนี้ นโยบายเป็นแต่เพียงแนวทางกว้าง ๆ ท่ช่วยในการตัดสินใจเพื่อกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่านั้น หรือเป็นสิ่งท่ควรเลือกกระทำหรือไม่ควรกระทำ
ไฮมานน์ และสกอตต์(Theo Haimann and William G. Scott) กล่าวว่านโยบายคือขอบเขตของเหตุผลและผลที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจ
เทอร์รี(Gerorge R. Terry) กล่าวว่า นโยบายคือการพูดหรือการเขียนถึงขอบเขตและแนวทางทั้งหมดในการปฏิบัติงาน
กรีนวูด (Willam T. Greenwood) กล่าว่านโยบายหมายถึงการตัดสินใจขั้นต้นอย่างกว้าว ๆ จากข้อมูลทั่วไป เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้เป็นไปด้วยความถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ท่กำหนดไว้
เจคอบ (Charies E. jacop) ได้ให้คำจำกัดความของนโยบายว่า นโยบายคือหลักการแผนการหรือแนวทางการปฏิบติงาน
เวร์น (A.R. Leys Wayne) อธิบายถึงความหมายนโยบายไว้ว่า นโยบายคือโครงการในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีคุณค่า หรือเป็นการตัดสินใจเลือกจุดมุ่งหมายและวิธีการในการบริหารองค์การใดองค์การหนึ่ง
ฟิฟฟ์เนอร์(John M. Piffner) เรียกนโยบายว่าแผนงานประจำ ซึ่งเป็นผลอันเกิดจากการต่อรอง การปฏิบัติตามข้อตกลง และการประนีประนอม ในการกำหนดเป้าหมาย การตรวจสอบทางเลือก และการค้นหายุทธวิธีเพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ และอาจถือได้ว่านโยบายเป็นกฎ(Rulle) และระเบียบ (Regulation) ที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการตัดสินใจเมื่อบุคคลหนึ่ง หรือหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดประสบกับปัญยหาในการปฏิบัตงาน
อมร รักษาสัตย์ ได้ให้คำจำกัดความของนโยบายหมายถึงอุบายหรือกลุเม็ดที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเห็นว่า เป็นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายของส่วนรวมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเหมาะสมที่สุด
จากความหมายและคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น จะสังเกตได้ว่านโยบาย เป็นกรอบสำหรับการตัดสินใจของผู้บริหารในลักษณะแสดงให้เห็นถึงวิถีทาง และผลแห่งการดำเนินงาน นโยบายที่ดียอมทำให้การตัดสินใจถูกต้องและดีตามไปด้วย นโยบายที่ดีย่อมทำให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความมีประสิทธิภาพโดย
- ช่วยสนับสนุนให้มีการตัดสินใจที่ถูกต้อง
- เป็นการควบคุมขั้นพื้นฐานของการปฏิบัติงาน
- ทำให้เกิดความแน่นอนและประสานงานในการปฏิบัติงาน
- ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการตัดสินใจ
กลูกค์ (William F. Glueck) ได้ให้ข้อคิดเห็นว่านโยบายเป็นสิ่งที่ผู้บริหารระดับกลางและผู้บริหารระดับต้นเป็นผู้ทำขึ้นเพื่อสนับสนุนกุศโลบายของผู้บริหารระดับสูง กล่าวคือนโยบายจะช่วยให้กุศโลบายหรือการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงเป็นจริง และเป็นไปด้วยเหตุผล ที่ได้ข้อมูลจากผู้บริหารระดับต่ำลงไป อย่างไรก็ตามนโยบายจะต้องมีการแปลและตีความออกมาให้ขัดแจ้งในลักษณะที่เป็นเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของกิจกรรมที่ต้องการกระทำ
กุศโลบาย (Stategy)
กุศโลบาย (Stategy) เป็นคำมาจากภาษษสันสกฤต โดยสมาสคำว่า "กุศล"(ฉลาด) กับ"อุบาย"(วิธีการอันแยบคาย เล่ย์กล เล่ย์เหลี่ยม) เข้าด้วยกันและแปรเป็นความหมายได้ว่า อุบายอันแยบคาย หรือ วิธีอันฉลาดในการกระทำกิจการใด ๆ
โดยปกติกุศโลบายเป็นคำที่ใช้มากในวงการทหาร และใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกันไป เช่น ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ หรือกลยุทธ เป็นต้น
แอนโทนี (R.M. Anthony) กล่าวว่า กุศโลบายเป็นกระบวนการในการตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์ และการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์เหล่านั้นขององค์การ
แซลเลอร์(Alfred D. Chancler) ได้ให้ความหมายของกุศโลบายไว้ว่า เป็นความคิดในการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ พื้นฐานระยะยาวของหน่วยงาน รวมทั้งการยอมรับวิธีการในการปฏิบัติงานและการจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินการบรรลุเป้าหมาย
กลูกค์ (William F. Glueck) ได้ให้ความหมายของกุศโลบายว่า เป็นแผนที่ทำขึ้นไว้อย่างเป็นมาตรฐาน(Unifiecp plan) มีความสมบูรณ์และง่ายต่อความเข้าใจ และเป็นการผสมผสานความคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันว่าวัตถุประสงค์ของกิจการจะต้องประสบกับความสำเร็จ
อาจจะสรุปได้ว่า กุศโลบาย คือ ขอบข่ายหรือกรอบของความคิดในการปฏิบัติงานของผู้บริหาร โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องชี้ทิศทางในการดำเนินงาน ซึ่งดูได้จาก วัตถุประสงค์ของหน่วยงาน และการ สรรทรัพยากรต่าง ๆ ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยความเป็นจริงกุศโลบายเป็นสิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้จัดทำขึ้นโดยการวิเคราะห์จากจุดอ่อน ข้อจำกัด หรือจุดเข็งขององค์ประกอบต่าง ๆ ภายในองค์การอย่างละเอียดแล้วเลือกทางเลือกที่ดีมีเหตุผลขึ้นเป็นกุศโลบายในการดำเนินงาน
ความสำคัญของนโยบายและกุศโลบาย
ความสำคัญของนโยบายและกุศโลบายต่อการบริหาร
Joscph L. Massic and John Douglas กล่าวถึงความสำคัญของนโยบายดังนี้
ลักษณะที่ดีของนโยบายและกุศโลบาย
นโยบายที่ขัดเจนจะทำให้ การปฏิบัติงานง่าย และมีประสิทธิภาพช่วยให้ผู้ใต้บังคบบัญชาตัดสินใจในภารกิจที่ตนเองรับผิดชอบได้ ไม่ต้องรอคำสั่งจากเบื้องบน นโยบายที่ดีมีคุณลักษณะดังนี้
R.Watnc Mondy และคณะได้ให้รายละเอียดของคุณลักษณะที่ดีของนโยบายไว้ดังนี้
1. นโยบายควรกำหนดจากฐานข้อมูลที่เป็นความจริง
2. นโยบายของผู้บังคับบัญชาและของผู้ใต้บังคับบัญชา ควรสนับสนุนซึ่งกันและกัน
3. นโยบายของหน่วยงานหรือแผนกงานที่ต่างกันที่อยู่ภายในองค์การเดียวกัน ควรต้องประสานกัน
4.นโยบายควรเป็นข้อความที่แน่นอนเข้าใจ ได้และเป็นลายลักษณ์อักษร
5. นโยบายควรยืดหยุ่นแต่มั่นคงอยู่บนหลักการ
6. นโยบายควรมีขอบเขตที่เข้าใจได้โดยเหตุผล
ปัจจัยและองค์ประกอบของนโยบาย
การกำหนดนโยบายเป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องจัดให้มีขึ้น ปัจจัยในการกำหนดนโยบาย จำแนกได้ 2 ประเภทได้แก่
1. ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน(Fundamcntal Faclors) หมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ตามที่เป็นผู้มีหน้าที่ในการกำหนดนยาบจะต้องคำนึงอยู่ตลอกเวลา อาจเป็นนโยบายที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ขาดความสมบูรณ์ถูกต้องก็จะทำให้เกิดปัญหา อุปสรรคและความยุ่งยากในการปฏิบัติให้นโยบายนั้นบรรลุเป้าหมาย ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญ 3 กลุ่ม
ก. ปัจจัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ การกำหนดนโยบายต้องมีลักษณะที่เป็นการตอบสนองความต้องการของบุคคลส่วนใหญ่ในองค์การหรือหน่วยงานนั้น
ข. ปัจจัยที่เกี่ยวกับผู้กำกับนโยบาย วิธีการในการดำเนินนโยบาย ผู้ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างน้อย 2 ประการ คือ เรื่องวิธีการกำหนดนโยบาย ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องปัจจัยต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายนอกจากนั้นนโยบายยังต้องมีความเหมาะสม เป็นเหตุเป็นผลและมีความถูกต้อง
ค. ปัจจัยเกี่ยวกับข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ ผู้กำหนดนโยบายจะต้องคัดกรองข่าวสารและข้อมมูลอย่างละเอียดรอบคอบ
2. ปัจจัยที่เป็นสิ่งแวดล้อม (Environmental factors) หมายถึง สิ่งแวดล้อมในสังคมที่ผู้กำหนดนโยบายจะต้องคำนึงถึง เพราะมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายทั้งโดยตรงและทางอ้อม Ira Sharkansky จำแนกปัจจัยที่เป็นสิ่งแวดล้อม ดังนี้ ปัจจัยทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม และ Joyce M. Munns ได้จำแนกสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายออกเป็น 3 ประเภท คือ วัฒนธรรมทางการเมือง นโยบายของรัฐ และสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอธิบายได้ดังนี้
ก. ปัจจัยทางการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมือง เป็นปัจจัยที่มีผลกระทบอย่างมากเพราะรูปแบบของการเมืองหรือการปกครองย่อมเป็นรูปแบบของการกำหนดนโยบายของสังคมหรือองค์กรนั้นด้วย วัฒนธรรมทางการเมือง (Political culture) ก็เป็นปัจจัยอีกชนิหนึ่งที่มีผลกระทบ หรือมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบาย ซึ่ง เอลาซาร์ (Daniel J. Elazar) จำแนกวัฒนธรรมทางการเมืองไว้ 3 ลักษณะด้วยกัน คือ ลัทธิคุณธรรมนิยม และลัทธิประเพณีนิยม
ข. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ องค์การหรือหน่วยงานที่มีภาวะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคงย่อมไม่สามารถกำหนดนโยบายได้ อย่างกว้างขวาง และการปฏิบัติตามนโยบายอาจไม่บรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์
ค. ปัจจัยทางด้านสังคม เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่มีผลกระทบและมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบาย ลักษณะความเป็นอยู่ของสมาชิก ความแตกต่างของกลุ่มสมาชิก ความสามัคคีของกลุ่มสมาชิก
ง. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ในการกำหนดนโยบายใด ๆ ก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายจะต้องคำนึงถึงสถานที่ตั้ง พื้นที่ อาณาเขต สภาพภูมิอากาศ และสภาพภูมิประเทศขององค์การหรือหน่วยงาน โดยจะต้องกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพต่าง ๆ
ปัจจัยทุกประเภทมีความสำคัญและมีอิทธิต่อการกำหนดนโยบายขึ้นว่าจะเป็นประโยชน์หรือเป็นนโยบายที่ใช้ได้เพียงใด ไม่เพียงแต่นโยบายจะต้องขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจและความสามารถของผู้กำหนดนโยบาย ยังขึ้นอยู่กับปริมาณและความถูกต้องด้วย
ฟรายดริช(Carl J. Friedrich) กล่าวถึงนโยบายว่าเป็นข้อเสนอแนวทางที่จะปฏิบัติการของบุคคล กลุ่มคน หรือรัฐบาลภายในสภาพแวดล้อมแห่งหนึ่ง ซึ่งจะมีทั้งอุปสรรคและโอกาสบางอย่างอยู่ด้วยทำให้ต้องมีการเสนอนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์และเอาชนะสภาวการณ์ต่าง ๆ นโยบายมีองค์ประกอบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ เป้าหมาย (targets) สิ่งที่ต้องทำ วิถีทาง(means) การดำเนินงาน และปัจจัย(resources) สนับสนุนการกระทำตามนโยบาย
3.1 ปัจจัยภายใน ได้แก่ คน เงิน วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการในการกำหนดนโยบาย
3.2 ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม และสภาพดินฟ้าอากาศ หากขาดปัจจัยด้านใดด้านหนึ่งจะเกิดผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดขึ้นมาได้
ข้อควรคำนึงในการกำหนหดนโยบายและกุศโลบาย
1.1 วัตถุประสงค์ขององค์การหรือหน่วยงาน
1.2 ความต้องการของคนส่วนใหญ่
1.3 เหตุผลและความเป็นไปได้
1.4 ความรู้ความสามารถของผู้ปฏิบัติ
นอกจากนี้แล้ว คูนทซ์ (Harold Koontz) และโอดอนเนลล์(Cyril O.Donnell) ได้เสนอข้อคิดเห็นที่ผู้บริหารควรคำนึงในการกำหนดนโยบายและกุศโลบายดังนี้
5.1 ชี้ให้เห็นถึงการตัดสินใจในอดีตสามารถใช้เป็นข้อมูลเสริมเพื่อการตัดสินใจครั้งใหม่
5.2 เสริมให้บุคคลปฏิบัติงานที่ตนรับผิดชอบด้วยความมั่นใจ
5.3 ช่วยลดปัญหาและการบริหารงานที่ซ้ำซ้อน
5.4 สนับสนุนให้บุคคลทั้งกลุ่มปฏิบัติงานโดยสอดคล้องกันตลอดเวลา
5.5 ทำให้องค์การหรือหน่วยงานมีความมั่นคง
5.6 ทำให้การบริหารระดับสูงมีความเป็นอิสระที่จะพิจารณาแก้ไข
ประเภทและแหล่งที่มาของนโยบายและกุศโลบาย
ก. จำแนกตามแหล่งที่มา (Sources)
1. นโยบายริเริ่ม (Originated policy) เป็นนโยบายที่ผู้บริหารระดับสูง (Top Excutive) เป็นผู้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของผู้ใต้บังคับบัญชาในหน่วยงานทั้งหมด นโยบายประเภทนี้จะพัฒนามาจากวัตถุประสงค์หลักของหน่วยงาน เป็นนโยบายที่กำหนดไว้กว้าง ๆ
2. นโยบายร้องเรียน (Appealed policy) เป็นนโยบายที่ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Manager) เป็นผู้กำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นประจำ เป็นนโยบายเฉพาะกรณี
3. นโยบายเรียกร้อง (Imposed policy) เป็นนโยบายที่เกิดจากแรงกดดันภายนอกหน่วยงาน และเป็นผลทำให้หน่วยงานหรือองค์การต้องกำหนดนโยบายขึ้นตามความต้องการของแรงดันภายนอกเหล่านั้น เช่น อิทธิพลของรัฐบาล ระเบียบกฎหมาย กลุ่มอิทธิพลและสมาคมต่าง ๆ แรงดันที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่องค์การไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
4. นโยบายโดยบริยายหรือนโยบายโดยนัย (Implied policy) เป็นนโยบายอันเกิดจากความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูง ที่เห็นว่านโยบายเก่า ๆ ที่เคยใช้อย่างมีผลนั้น สามารถที่จะใช้ได้ต่อไป
ข. จำแนกตามลักษณะการเกิด มี 2 ประเภท(Origin)
1.นโยบายภายใน (Intemal policy) เป็นนโยบายที่ผู้บริหารทุกระดับเป็นผุ้กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของตนเองและของผู้ร่วมงานอื่น ๆ ภายในหน่วยงาน
2.นโยบายภายนอก(Extemal policy) เป็นนโยบายที่กำหนดขึ้นเพื่อสนองตอบอิทธิพลจากภายยอกองค์การหรือหน่วยงาน
ค. นโยบายหรือกุศโลบายจำแนกตามระดับชั้นการบริหารองค์การ(Organizational levels of management) จำแนกได้ 3 ประเภท
1.นโยบายขั้นพื้นฐาน (Basic policy) เป็นนโยบายที่กำหนดขึ้นจากผู้บริหารระดับสูง (Top Excutive) เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับการกำหนดนโยบายประเภทอื่น ๆ มีลักษณะเป็นแนวคิดกว้าง ๆ
2. นโยบายทั่วไป(General policy) เป็นนโยบายที่กำหนดขึ้นโดยผู้บริหารระดับกลาง (Middle Manager) เป็นนโยบายที่กำหนดขึ้นตามนโยบายขั้นพื้นฐาน ทำให้นโยบายพื้นฐานมีความชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเป็นที่เข้าใจของผู้ปฏิบัติโดยง่าย
มาเยี่ยมชมผลงานครับ
สวัสดีคร้า...อ่านแล้วนะคะ...ดีคร้า
สะวีดัส.....คะ มาเยี่ยมชมยอดไปเลยคะ
ยอดเยี่ยมเลยค่ะ...ขอบคุณนะคะ