อ.ผัก
อาจารย์ พท. ศุภฤกษ์ ภมรรัตนปัญญา

การแพทย์อายุรเวทและโยคะ..การบำบัดจากพุทธกาลสู่สหัสวรรษใหม่ ตอนที่ ๑


การแพทย์อายุรเวทและโยคะ..การบำบัดจากพุทธกาลสู่สหัสวรรษใหม่

การแพทย์อายุรเวทและโยคะ..การบำบัดจากพุทธกาลสู่สหัสวรรษใหม่

                                                                                     โดย   ศุภฤกษ์  ภมรรัตนปัญญา

อายุรเวท เป็นการแพทย์แบบธรรมชาติตามระบอบวิธีดั่งเดิมของอินเดีย มีการบันทึกขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ ๓,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ในคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นตำราฮินดูโบราณ คำว่า  อายุร หรือ ชีวิต หรือ เวท หรือ ศาสตร์ ส่วนที่ร่วมอยู่ในการแพทย์แบบอายุรเวท อันดีเลิศ คือการฝึกโยคะ หรือการรวมเป็นหนึ่งเดียว ในการพิจารณาหลักการนี้ ทั่งอายุรเวทเละโยคะได้ถูกประกอบขึ้นนอกเหนือจากความเคารพเชื่อถือตามแบบแผนปฎิบัติร่วมหลายศตวรรษนี้

ในอินเดียและเอเซีย มีการฝึกฝนปฎิบัติอายุระเวทมาประมาณ ๕,๐๐๐ ปี ซึ่งถือว่าเป็นระบบการรักษาแบบธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นพื้นฐานดั่งดิมของแบบแผน ปฎิบัติการทางการแพทย์แบบอื่นๆ มากมาย และการแพทย์ระบบดั่งเดิมของพุทธ

เมื่อการแพทย์แบบตะงันตกเข้ามามีบทบาทในอินเดีย ชื่อเสียงและศรัทธาของอายุรเวทก็ลดลง อย่างไรก็ตามการเเพทย์อายุรเวทก็ได้กลับมาอีกครั้ง และปัจจุบันมีการฝึกฝนควบคู่ไปกับแพทย์แผนตะวันตก นอกจากนี้การแพทย์อายุรเวทยังได้รับกระแสนนิยมในประเทศตะวันตกมากขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา  ปี ๑๙๗๘ องค์กาอนามัยโลกให้การรับรองว่า อายุรเวท เป็นการแพทย์แบบดั่งเดิมรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถช่วยชีวิตรักษาชีวิตของผ็คนในประเทศกำลังพัฒนา

อายุรเวทเป็นวิธีการอยู๋อย่างมีสุขภาพดี มีเป้าหมายแรกคือ การรักษาและส่งเสริมสุขภาพ โดยเน้นที่การสร้างภูมิคุ้มกันโรค เป้าหมายที่สอง คือ การรักษาความเจ็บป่วยทางกายและใจ รวมทั้งการฟื่นฟูความสงบทางจิต

ในการใช้วิธีการรักษาที่ตัวบุคคลมากกว่ารักษาโรค อายุรเวทเชื่อว่า ปัจจัยต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ ประกอบด้วย โภชนาการ สุขอนมัย การนอนหลับพักผ่อน สภาพอากาศ และวิถีการดำเนินชีวิต ช่นเดียวกับกิจกรรมต่างๆ ทางด้านกายภาพ จิตใจและเพศ ปัจจัยทางอารมณ์ก็รวมอยู๋ด้วย ความโกรธ ความกลัว ความวิตกกังวล และสุขภาพไม่ดี ถูกเชื่อว่ามีช่วยให้เกิดความเจ็บป่วย ส่วนสภาพทางอารมณ์ที่ดีเชื่อว่าป็นพื้นฐานที่สำคัญของสุขภาพกาย

หมายเลขบันทึก: 366807เขียนเมื่อ 15 มิถุนายน 2010 23:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2014 07:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สุขภาพกายไม่ดี สุขภาพใจก็เสียไปด้วย

สุขภาพใจไม่ดี ก็ทำให้สุขภาพกายโทรมไปด้วย

จริง ๆ เลยน่ะค่ะ

http://gotoknow.org/blog/pa15/366679

ฟังเพลงคนไทยกันน่ะค่ะ

ครับผม ขอบคุณที่เเสดงความคิดเห็นครับ ยังไงก็ติดตามกันเรื่อยๆนะครับ จะพยายามเขียนเนื่อหาเกี่ยวกับเพทย์อายุรเวทท่าที่พอมีความรูให้ได้มากที่สุด เพราะคิดว่าเป็นศาสตร์ที่มีประโยชน์มากกับคนในยุคปัจจุบัน

อุดมศึกษาทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี

อายุรเวท วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในอุดมศึกษาของอินเดีย

ดร. ประมวล เพ็งจันทร์

ภาควิชาปรัชญาศาสนา

คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาค้นคว้าเพื่อจัดทำหนังสือสารคดี

เรื่อง ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของอินเดีย

ได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย

ชุดโครงการอาณาบริเวณศึกษา 5 ภูมิภาค

(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 10 หน้ากระดาษ A4)

แพทย์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี

อุดมศึกษาทางด้านการแพทย์

การศึกษาทางด้านการแพทย์ในสังคมอินเดีย มีบรรยากาศแตกต่างไปจากเมืองไทยอย่างสิ้นเชิง คือ เงียบเหงา ไม่คึกคักเหมือนดังในประเทศไทย ทั้งนี้เป็นเหตุสืบเนื่องมาจากประชาชนชาวอินเดียไม่ได้เห่อสนับสนุนให้บุตรหลานของตัวเองใฝ่ฝันอยากจะเรียนเพื่อเป็นแพทย์ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้น่าจะมีมูลเหตุหลักอยู่ 2 ประการ คือ

1. ค่านิยมตามจารีตประเพณี และ

2. โครงสร้างของงานอาชีพในสังคมอินเดียปัจจุบัน

ค่านิยมในการเรียนแพทย์นั้นถูกกำหนดโดยความเชื่อตามจารีตเกี่ยวกับเรื่อง วรรณะ ที่ในสังคมอินเดียโบราณอาชีพแพทย์เป็นอาชีพรับใช้ผู้อื่น จึงไม่เหมาะจะเป็นงานอาชีพของคนวรรณะสูง ค่านิยมนี้มีผลกระทบต่อวิชาชีพแพทย์ในสังคมอินเดียปัจจุบันมากพอสมควร แม้ว่าความเชื่อถือเรื่องวรรณะจะไม่มีพลังกำหนดสังคมดังเช่นในอดีต แต่ความเชื่อที่ติดฝังอยู่ในจารีตของอินเดีย ก็เป็นผลให้การเรียนวิชาชีพแพทย์ไม่ได้รับความนิยมเหมือนวิชาชีพอื่น ๆ อย่างเช่น ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

มูลเหตุประการที่ 2 นั้น สัมพันธ์อยู่กับโครงสร้างสังคมยุคใหม่ ที่สังคมอินเดียนำเอาวิชาชีพแพทย์แผนปัจจุบันเข้าสู่อินเดียผ่านผู้ประกาศศาสนาคริสต์ (Missionnary) หรือหมอสอนศาสนา แต่เดิมทีนั้นหน้าที่ในการดูแลและรักษาสุขภาพเป็นหน้าที่ของชุมชน ที่มอบหมายให้คนกลุ่มหนึ่ง (วรรณะ) เป็นผู้ศึกษาสืบต่อความรู้ทางด้านการแพทย์แบบอินเดีย และทำหน้าที่รับใช้ดูแลสุขภาพของผู้คนในชุมชน/สังคมนั้น ๆ

ครั้นมาถึงยุคที่ผู้ประกาศศาสนาคริสต์เข้ามาสู่อินเดียในยุคล่าอาณานิคม องค์กรทางศาสนาได้นำเอาวิธีการรักษาดูแลสุขภาพแบบตะวันตกเข้ามาสู่อินเดียด้วย และต่อมาเมื่อระบบอาณานิคมของอังกฤษได้ถูกสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินอินเดียได้สำเร็จแล้ว แม้ผู้ปกครองชาวอังกฤษไม่ได้สนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ก็ไม่ได้ห้ามการเผยแพร่ความรู้ทางด้านการแพทย์แบบตะวันตก ทั้งนี้ก็เพราะผู้ปกครองชาวอังกฤษเองก็ไม่เชื่อถือความรู้เดิมของอินเดียทุก ๆ สาขาอยู่แล้ว รวมทั้งความรู้ด้านการแพทย์ด้วย

ต่อมาเมื่อถึงยุคก่อตั้งวิทยาลัยให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาของอินเดีย วิชาการแพทย์ได้ถูกบรรจุให้เป็นวิชาเรียนที่วิทยาลัยสันสกฤตพาราณสี (Banaras Sanskrit College) และที่กัลกัตตามัดระซ่าห์ (Calcutta Madrasah) ในปี ค.ศ.1826 จากข้อมูลเกี่ยวกับวิชาที่เปิดสอนในวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งนั้น ทำให้ทราบว่า มีทั้งวิชาการแพทย์แบบตะวันตกและแพทย์แบบอินเดีย ที่เรียกว่า "อายุรเวท" (Ayurvedic)

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าต่อมาในปี ค.ศ.1835 ก็ได้มีการยกเลิกวิชาอายุรเวทด้วยข้ออ้างที่ว่า ไม่ใช่ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ จึงไม่สมควรสอนในวิทยาลัยต่อไป ประกอบกับทางรัฐบาลมีนโยบาย ให้วิทยาลัยสอนความรู้ทางตะวันตกแก่ชาวอินเดียด้วยภาษาอังกฤษ วิชาอายุรเวทที่เป็นภาษาสันสกฤตจึงต้องถูกยกเลิกไป เพราะเหตุว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์และเป็นภาษาสันสกฤต

การศึกษาวิชาการแพทย์แบบอินเดีย ได้ถูกกำจัดออกไปจากสถาบันการศึกษานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1835 เป็นต้นมา และได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกเมื่ออินเดียได้รับเอกราชทางการปกครอง เมื่อคณะกรรมาธิการราธกฤษณัน ได้เสนอให้มีการรื้อปรับระบบการศึกษาวิชาการด้านการแพทย์ โดยบังคับให้นักศึกษาวิชาชีพแพทย์ ต้องศึกษาความรู้ทางด้านการแพทย์แผนอินเดีย ควบคู่ไปกับการศึกษาวิชาการแพทย์แบบตะวันตก ดังข้อเสนอที่ระบุว่า

- สถาบันการศึกษาทางด้านวิชาการแพทย์ จะต้องสนับสนุน ส่งเสริม ให้มีการศึกษาวิชาการแพทย์แบบอินเดีย

- ในวิชาประวัติศาสตร์การแพทย์ จะต้องมีการสอนให้นักศึกษารู้-เข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่าของวิชาแพทย์แบบอินเดีย

จากข้อเสนอของคณะกรรมาธิการราธกฤษณัน ทำให้มีการรื้อฟื้นการศึกษาวิชาการแพทย์แบบอินเดียขึ้นมาอีก และมีความก้าวหน้าดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

จากการที่อาชีพแพทย์ในยุคอาณานิคมตอนต้นตกไปอยู่ในมือของหมอสอนศาสนา ทำให้อาชีพแพทย์ปรากฏในสังคมอินเดียแบบการให้บริการ ไม่ใช่การซื้อ-ขายระหว่างหมอกับผู้ป่วย คณะหมอสอนศาสนาทำให้ความเป็นหมอ คือผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ แม้ต่อมาอาชีพแพทย์จะถูกสถาปนาขึ้นมาเป็นอาชีพอิสระไม่เกี่ยวกับผู้สอนศาสนาแล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกของชาวอินเดียก็ยังมองว่า หมอเป็นผู้ให้อยู่นั้นเอง

ความเป็นอาชีพให้บริการของแพทย์ถูกตอกย้ำให้ชัดเจนขึ้นมาอีก เมื่ออินเดียได้รับเอกราชทางการปกครอง และประกาศให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย คือ ในทางการเมืองเป็นประชาธิปไตย แต่ในทางสังคมให้เป็นสังคมนิยม และหนึ่งในความเป็นสังคมนิยมคือ การให้สวัสดิการทางด้านการแพทย์แก่ประชาชน

ด้วยแนวคิดที่ว่า การแพทย์เป็นการให้บริการ ทำให้สถาบันการศึกษาวิชาการแพทย์ต้องผลิตบุคลากรทางการแพทย์ออกมาเพื่อรับใช้สังคม ในสังคมอินเดีย แพทย์ไม่มีสิทธิ์ไปแสวงหารายได้จากผู้ป่วยในลักษณะของการขายบริการ แพทย์ที่รับราชการอยู่แล้วอาจจะไปเปิดคลีนิค เพื่อให้บริการแก่ประชาชนนอกเวลาราชการได้ แต่ไม่มีสิทธิขายยาหรือเวชภัณฑ์อื่น ๆ ทำได้เพียงแค่ตรวจโรคแล้วเขียนใบสั่งยาให้ผู้ป่วยไปซื้อยาจากร้านขายยาด้วยตัวผู้ป่วยเอง และอัตราค่าบริการตรวจโรค ที่แพทย์จะเรียกเก็บจากผู้ป่วยนั้นก็ถูกรัฐกำหนดไว้ในราคาที่ต่ำมาก

ในสมัยเมื่อผู้เขียนเป็นนักศึกษาอยู่ในอินเดียเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว อัตราค่าบริการตรวจโรคและเขียนใบสั่งอยู่ที่ราคา 5 รูปี ซึ่งเป็นราคาเดียว ไม่ว่าผู้ป่วยจะป่วยเป็นอะไร หนักเบาแค่ไหน ค่าหมอก็ 5 รูปีเท่ากัน ทราบว่าปัจจุบันเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ในชนบททั่ว ๆ ไปก็ยังเพิ่มไม่มากคือ ตกราคาประมาณ 10-15 รูปี

ด้วยอัตราค่าบริการถูก ๆ การเปิดคลีนิคของหมอจึงไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงแค่มีห้องเล็ก ๆ ภายในมีโต๊ะ-เก้าอี้ 1 ชุด พร้อมอุปกรณ์พื้นฐานของแพทย์ก็เปิดเป็นคลีนิคได้แล้ว ในเขตชนบทบ้านนอก บางที่ไม่จำเป็นต้องมีห้องสำหรับเป็นคลีนิค เพียงแค่มีร่มไม้กลางหมู่บ้านก็เปิดเป็นคลีนิคได้แล้ว รวมความแล้วไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไร ไปหาหมอแต่ละครั้งพร้อมทั้งซื้อยาก็จะไม่เกิน 30 บาทแน่นอน

จากโครงสร้างทางสังคมในเชิงอาชีพแบบนี้ อาชีพแพทย์จึงไม่มีมนต์เสน่ห์เชิญชวนคนรุ่นใหม่ให้สนใจมาเรียนแพทย์ เหมือนในสังคมอื่น ๆ ที่วิชาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีรายได้สูง และมีความมั่นคงในแง่เศรษฐกิจ

ในสังคมอินเดียปัจจุบัน ครอบครัวที่นิยมส่งบุตร-หลานไปศึกษาทางด้านการแพทย์ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นครอบครัวชาวคริสต์ที่มีความเชื่อว่าอาชีพแพทย์-พยาบาล เป็นอาชีพที่มีเกียรติคุณสูง เพราะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก จากมูลเหตุคือค่านิยมตามจารีตของอินเดียเดิม และโครงสร้างงานอาชีพที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มากนัก จึงทำให้การศึกษาด้านวิชาการแพทย์ในประเทศอินเดียไม่คึกคักเหมือนในสังคมอื่น ๆ

ในการเดินทางไปสังเกตการศึกษาระดับอุดมศึกษาทางการแพทย์นี้ ผู้ศึกษาได้เลือกสถาบันตัวอย่าง 2 แห่ง คือ

1. สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งอินเดีย กรุงนิวเดลี

2. สถาบันบัณฑิตศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ เมืองจันดิการ์ห

ทั้ง 2 แห่งที่ได้ไปเยี่ยมชมนี้มีบรรยากาศคล้าย ๆ กันคือ มีประชาชนพลุกพล่าน เพราะเป็นสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานสูง มีผู้ป่วยมาเข้ารับการบริการเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ต่างมีภารกิจในการให้บริการแก่ผู้มารับบริการ นักศึกษาทุก ๆ ระดับต่างต้องฝึกฝนทดลองอยู่ในห้องปฏิบัติการ และฝึกปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลของสถาบันการศึกษา

ถ้าจะบอกเล่าให้เห็นภาพก็ต้องพูดว่า การศึกษาวิชาการทางการแพทย์ของอินเดียในสถาบันการศึกษาทั้ง 2 แห่งที่ผู้เขียนไปเยี่ยมชม มีบรรยากาศและองค์ประกอบต่าง ๆ เหมือน คณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยทุกประการ

ความน่าสนใจในการศึกษาวิชาการแพทย์ในสถาบันอุดมศึกษาของอินเดียกลับอยู่ที่การศึกษาวิชาการแพทย์แบบอินเดียที่เรียกว่า "อายุรเวท" ซึ่งได้จัดให้มีระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอยู่ในหลาย ๆ มหาวิทยาลัยของอินเดีย เช่น ที่มหาวิทยาลัยฮินดู-พาราณสี วิชาการแพทย์แบบอินเดีย เป็นวิชาการชั้นสูงที่ผู้ผ่านการศึกษาวิชาการแพทย์แบบตะวันตกมาแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าศึกษาต่อยอดเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในวิชาการแพทย์แบบอินเดียได้

ด้วยความน่าสนใจในการศึกษาวิชาการแพทย์แบบอินเดีย ผู้เขียนจึงได้ติดต่อขอเยี่ยมชมกิจกรรมการเรียนการสอน และการให้บริการประชาชนของวิทยาลัยอายุรเวท (Government Ayurveda College) ซึ่งอยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยเกราล่า ตั้งอยู่ที่เมืองติรุวนันทปุรัม เมืองหลวงของรัฐเกราล่า

ในการเข้าเยี่ยมชมนั้นต้องขออนุญาตจากท่านอธิการของวิทยาลัยอายุรเวท และท่านก็ได้อนุญาตให้เข้าชมได้ โดยได้สั่งให้นักศึกษาเป็นผู้นำพาผู้เขียนไปชมกิจการฝ่ายต่าง ๆ ตามที่ต้องการ ในส่วนแรกที่เข้าชม เป็นการเรียนการสอนภายในห้องเรียน ซึ่งก็เป็นกระบวนการเรียนการสอนเหมือนวิชาการอื่น ๆ ซึ่งมีทั้งการศึกษาภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ตามหลักวิชาการแพทย์ของอินเดียโบราณ

จากการเยี่ยมชมห้องเรียนของนักศึกษาวิชาการแพทย์อายุรเวท ทำให้ทราบว่ามีการเรียนสรีระวิทยา หรือกายวิภาคศาสตร์(Anatomy) คือ การเรียนส่วนต่างๆ เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ เช่นเดียวกับวิชาการแพทย์อื่นๆ ส่วนถัดมา ต่อจากห้องเรียนก็ได้ไปเยี่ยมชมฝ่ายผลิตและปรุงยาสมุนไพรแบบอินเดีย ท่านผู้อำนวยการฝ่ายผลิตและปรุงยาไม่ค่อยเต็มใจให้ชาวต่างชาติเช่นผู้เขียนเข้าชม แม้จะได้รับการยืนยันจากนักศึกษาที่นำไปว่า ท่านอธิการอนุญาตแล้ว ท่านผู้อำนวยการยังต้องโทรศัพท์ไปสอบถามให้แน่ชัด

เมื่อเห็นท่าทีวิตกกังวลของท่านผู้อำนวยการ ผู้เขียนจึงต้องชี้แจงอธิบายให้ท่านทราบว่าแม้ผู้เขียนจะเป็นชาวต่างชาติ หากแต่เป็นผลผลิตของสังคมอินเดีย และมีความสำนึกในคุณค่าแห่งความเป็นอินเดีย เมื่อได้ฟังคำอธิบายของผู้เขียนแล้วดูเหมือนท่านผู้อำนวยการจะเข้าใจ จึงได้บอกเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า มีชาวต่างชาติจำนวนมากต้องการจะเรียนรู้เพื่อนำเอาความรู้ที่ได้ไปทำเป็นธุรกิจการค้าเพื่อแสวงหากำไร

ตัวท่านเองไม่ต้องการให้ความรู้ด้านอายุรเวทเป็นเรื่องของการค้า เพราะวิชาอายุรเวทเป็นวิชาแห่งการเกื้อกูลกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ หากมนุษย์มีความเคารพในธรรมชาติ ธรรมชาติก็ย่อมเกื้อกูลต่อมนุษย์ พืชทุกชนิดล้วนแต่เกิดมาจากธรรมชาติเช่นเดียวกับมนุษย์ หากมนุษย์มีจิตคารวะต่อธรรมชาติแล้ว ก็ย่อมจะมองเห็นหนทางแห่งการอิงอาศัยกันระหว่างธรรมชาติส่วนต่าง ๆ และมนุษย์

หลังจากได้พูดคุยกันเป็นที่เข้าใจแล้ว ท่านผู้อำนวยการจึงได้พาผู้เขียนไปชมแผนกต่าง ๆ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการผลิตและปรุงยาจากวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะคือพืชสมุนไพร ท่านได้อธิบายให้ฟังว่าพืชแต่ละชนิดนำมาจากที่ใด และเพาะปลูกขึ้นมาโดยวิธีใด

จากการรับฟังคำอธิบายทำให้ได้ทราบว่า ความสำคัญของยาสมุนไพรประเภทต่าง ๆมิได้อยู่ที่ผลผลิตที่สำเร็จแล้วเท่านั้น หากแต่อยู่ที่กระบวนการต่าง ๆ โดยเริ่มต้นจากจิตสำนึกของมนุษย์ที่มีต่อธรรมชาติด้วยความเคารพ เพราะฉะนั้น ในการเพาะปลูกพืชสมุนไพรจึงต้องแสดงความเคารพธรรมชาติ ด้วยการไม่ละเมิดวิถีแห่งการงอกงามตามธรรมชาติของพืชสมุนไพรแต่ละชนิด ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ปุ๋ย เพื่อเร่งการเจริญเติบโต พืชชนิดใดเจริญงอกงามได้ในที่ใด ก็ให้เจริญงอกงามอยู่ ณ ที่นั้น

ท่านผู้อำนวยการบอกว่า วิชาการด้านอายุรเวทจะเสื่อม ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์นำเอาความรู้นี้ไปใช้เพื่อทำการค้า เพราะเมื่อใดที่เรียนรู้สิ่งนี้เพื่อแสวงหากำไร เมื่อนั้นจิตของมนุษย์ก็เสื่อม และวิชาการนี้ก็จะเสื่อมตามไปด้วย ผู้เขียนจากลาท่านผู้อำนวยการฝ่ายผลิตและปรุงยาสมุนไพรมาด้วยความขอบคุณ

ส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายที่ได้ไปเยี่ยมชมคือ ฝ่ายโรงพยาบาล ซึ่งเป็นส่วนให้บริการของวิทยาลัยอายุรเวทที่มีให้แก่ประชาชนทั่วไป ภาพที่ปรากฏก็เป็นเหมือนโรงพยาบาลทั่วไปคือ เต็มไปด้วยประชาชนที่มารับบริการ ต่างแต่เพียงว่ากระบวนการตรวจวินิจฉัยและการบำบัดรักษาเป็นไปในวิถีแบบอินเดีย ยาที่ได้รับก็เป็นยาสมุนไพรอินเดีย ที่ผลิตขึ้นมาจากฝ่ายผลิตและปรุงยานั้นเอง

การเข้าเยี่ยมชมกิจการของมหาวิทยาลัยอายุรเวท ทำให้มองเห็นความเป็นอินเดียที่ยังมีชีวิตชีวา และมีความหวังว่าสังคมอินเดียคงจะยังรักษาความเป็นอินเดียของเขาไว้ได้แน่นอน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับกระแสโลกที่พัดกระหน่ำมาอย่างรุนแรงสักเพียงใดก็ตาม

อุดมศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

แม้ว่าระบบอุดมศึกษายุคใหม่ของอินเดีย จะเริ่มต้นขึ้นด้วยข้ออ้างของชาวอังกฤษว่า ตะวันตกมีความเจริญทางวิทยาศาสตร์มากกว่าอินเดีย และต้องการให้ชาวอินเดียเรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ของชาวตะวันตก แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ระบบการศึกษายุคใหม่ของอินเดียเป็นไปในลักษณะของการจดจำความรู้ที่ผู้อื่นค้นพบแล้วเท่านั้น

การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของอินเดียในช่วงแรกของยุคอาณานิคม จึงมีผลเพียงแค่ว่าความรู้ใหม่ (ของตะวันตก) ก็ไม่ลึกซึ้ง ความรู้เก่า(ของอินเดียเอง) ก็เลือนหายไป ระบบจดจำความรู้ของผู้อื่นจากที่อื่น ทำให้องค์ความรู้ในสังคมอินเดียยุคอาณานิคมหดแคบลง จนสังคมอินเดียสูญเสียพลังแห่งความรู้ของชุมชนไปเกือบหมดสิ้น

ความรู้ใหม่ที่ระบบอุดมศึกษาแบบอังกฤษสร้างให้ก็เป็นความรู้ของปัจเจกบุคคลเป็นคน ๆ มิใช่ความรู้ของชุมชนดังเช่นในชุมชนอินเดียแต่เก่าก่อน และความรู้ที่เป็นของส่วนบุคคลนี้ก็เป็นความรู้ที่ผู้ปกครองอังกฤษสร้างขึ้น เพื่อผลประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ปกครองเป็นหลัก การเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกรณีตัวอย่างของความจริงข้อนี้

การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอินเดีย ปรากฏเป็นจริงเป็นจังขึ้นในช่วงสงครามโลก ทั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลอังกฤษได้ประจักษ์ว่า กำลังคนในการต่อสู้ทำสงครามเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อรักษาอาณานิคมของตนเองไว้ ด้วยข้อเท็จจริงที่ประจักษ์แจ้งเช่นนี้ รัฐบาลอังกฤษจึงสนับสนุนให้ชาวอินเดียเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะในสาขาที่เป็นการสร้างกำลังคนเพื่อการทำสงคราม เช่น สาขาวิศวไฟฟ้า วิศวโยธา ซึ่งเป็นบุคลากรที่จำเป็นสำหรับกองทัพ

แม้เมื่อสงครามยุติลงไปแล้วความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเช่นนี้ ก็มีคุณประโยชน์ต่อสังคม โดยเฉพาะเมื่อสังคมเมืองของอินเดียเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม ทรัพยากรบุคคลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ

ในช่วงปลายยุคอาณานิคม กระแสความนิยมในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แพร่กระจายไปในหมู่ชนชั้นกลางของอินเดียอย่างรวดเร็ว แทนที่กระแสความนิยมในการศึกษาด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่อังกฤษสร้างไว้ในตอนต้นยุคอาณานิคม แรงผลักในการสร้างสถาบันอุดมศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่วนใหญ่ มาจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคเอกชน

ดังเช่น กรณีของ นัสเซอร์วันยี ตาต้า (Nusserwantji Tata ค.ศ.1839-1904) นักอุตสาหกรรมผู้วางรากฐานให้กับเครือข่ายธุรกิจอุตสาหกรรมตาต้า ซึ่งเป็นเครือข่ายอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียในปัจจุบัน นัสเซอร์วันยี ตาต้า ได้พยายามผลักดันให้มีการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ขึ้นที่เมืองแบงกาลอร์ แคว้นไมซอร์ ซึ่งได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างอาคารของสถาบันวิทยาศาสตร์ที่เมืองแบงกาลอร์ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์

ต่อมาเมื่อได้รับเอกราชแล้วรัฐบาลอินเดียก็ได้ยกระดับสถาบันการศึกษาแห่งนี้ให้เป็นสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งอินเดีย (Indian Institute of Science) มีสถานะเทียบเท่ามหาวิทยาลัย

ทันทีที่ได้รับเอกราช รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของท่านบัณฑิตยวาหระ ลาล เนห์รู ก็ได้เปิดไฟเขียวให้กับการจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณเพื่อมหาวิทยาลัย (University Grants Commission = UGC) ได้รับมอบนโยบายให้สนับสนุนการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างอินเดียใหม่ให้ก้าวทันโลก

เมื่อรัฐบาลอินเดียยุคประชาธิปไตยมีการประกาศใช้แผนพัฒนาประเทศระยะ 5 ปี ฉบับที่ 1 (ค.ศ.1951-56) การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และด้านวิชาชีพเชิงเทคนิค ได้ถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายของการพัฒนาทางด้านการศึกษา

การพัฒนาการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในแผนพัฒนาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 (1951-66) มีเป้าหมายอยู่ที่ส่งเสริมการศึกษาเพื่อปริญญาบัตรทางด้านวิชาชีพเป็นหลัก ทั้งนี้ก็เพราะเป็นช่วงที่สถาบันอุดมศึกษา มีภาระหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากโลกตะวันตกสู่สังคมอินเดียเป็นหลัก

ความเปลี่ยนแปลงในทางการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปรากฏขึ้น เมื่อมีการประกาศใช้แผนพัฒนาประเทศระยะ 5 ปี ฉบับที่ 4 (ค.ศ.1969-74) ในแผนพัฒนาประเทศ ฉบับที่ 4 นี้ มีการประกาศแนวทางในการยกระดับการศึกษาทางด้านเทคโนโลยี ด้วยการศึกษาค้นคว้าที่เป็นการแสวงหาความรู้ทางด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้ของอินเดียเองขึ้น โดยกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 ขั้นตอน คือ

1. เปิดหลักสูตรระดับปริญญาโทและเอก ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มีเป้าหมายอยู่ที่การศึกษาวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่

2. จัดตั้งหน่วยงานอิสระที่มีหน้าที่ในการวางแผนและจัดทำหลักสูตร เพื่อพัฒนาการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสังคมอินเดียและก้าวทันโลกปัจจุบัน

3. จัดทำโครงการถ่ายทอดความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้แก่ภาคผลิตทั้งในทางทางเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

นับจากแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 4 เป็นต้นมา การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีได้แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในส่วนของมหาวิทยาลัยที่มีอยู่แล้วได้เปิดคณะวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยทางด้านเทคโนโลยีเป็นการเฉพาะขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ทั้งนี้โดยการสนับสนุนส่งเสริมด้านงบประมาณผ่าน UGC

นอกจากมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง จะจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอย่างเป็นอิสระของแต่ละมหาวิทยาลัยแล้ว กระทรวงการศึกษาของอินเดียยังได้สนับสนุนให้มีสถาบันอุดมศึกษาทางด้านเทคโนโลยี ให้มีลักษณะแบบเดียวกับสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งอินเดีย ที่จัดตั้งขึ้นที่เมืองแบงกาลอร์ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1911

ในปี ค.ศ.1951 รัฐบาลอินเดียโดยกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้จัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย (Indian Institute of Technology = IIT) ขึ้นที่เมือง Kharagpur รัฐเบงกอลตะวันตกในปี ค.ศ.1951 และสถาบันเทคคโนโลยีแห่งอินเดียในรูปแบบเดียวกัน ก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาทางด้านเทคโนโลยีของประชาชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ คือในปี ค.ศ.1958 ที่เมืองบอมเบย์ ค.ศ.1959 ที่เมืองมัทราส ค.ศ.1960 ที่เมืองกานปูร์ ค.ศ.1963 ที่กรุงนิวเดลี และค.ศ.1994 ที่เมืองกุวาหตี รัฐอัสสัม ปัจจุบันมีสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดียอยู่ 6 แห่ง กระจายไปทั่วอินเดียโดยแต่ละแห่งจะรับผิดชอบในเขตพื้นที่การศึกษาตามที่กำหนด

สถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย (Indian Institute of Technology)

สถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดียหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า IIT เป็นสถาบันอุดมศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอินเดียในขณะนี้ ทั้งนี้ดูได้จากจำนวนผู้สมัครขอแอ็ดมิสชันในแต่ละปี ที่มีจำนวนสูงสุดเมื่อเทียบเคียงกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน

IIT เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่อยู่ในสังกัดของรัฐบาลแห่งอินเดีย (รัฐบาลกลาง) สถาบัน IIT ทั้ง 6 แห่งจะแบ่งพื้นที่ให้การศึกษาออกเป็น 6 เขตพื้นที่ แล้วให้แต่ละแห่งรับผิดชอบการศึกษาด้านเทคโนโลยีให้กับประชาชนในเขตการศึกษาของตนเอง

หากนับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาจากความนิยมของประชาชนในสังคม ก็สามารถกล่าวได้ว่าสถาบัน IIT ประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง มีข้อมูลที่บอกเล่าจากนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ที่สถาบัน IIT เดลี ว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สำเร็จการศึกษาจาก IIT ได้เดินทางไปทำงานในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก คิดเป็นสัดส่วนแล้วประมาณ 25 % ของผู้จบการศึกษาจาก IIT ได้ไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอเมริกาและในยุโรป หากข้อมูลบอกเล่านี้เป็นจริงก็แสดงว่า IIT ได้เป็นสถาบันผลิตบุคลากรทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีให้กับวงการอุตสาหกรรมและธุรกิจบริการในระดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว

นอกจากการผลิตบุคลากรป้อนตลาดแรงงานโลกแล้ว ปัจจุบัน IIT โดยการสนับสนุนของรัฐบาลอินเดีย ได้มีนโยบายเปิดรับนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาที่สถาบัน IIT ทั้ง 6 แห่ง เพื่อเป็นการขยายบริการทางด้านการศึกษาให้กับลูกค้าต่างชาติ และมีการประมาณตัวเลขไว้ว่าในอนาคตอีกไม่กี่ปี IIT แต่ละแห่งจะมีนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาเป็น 15 % ของนักศึกษาทั้งหมด

ถ้าการประมาณตัวเลขนี้เป็นจริงก็แสดงว่า อินเดียได้เปิดประตูสู่การแข่งขันด้านธุรกิจการศึกษาอย่างเต็มตัว เพราะนั่นหมายความว่า จะต้องมีการแข่งขันในระดับสถาบันอุดมศึกษากับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก และอินเดียจะทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อคุณภาพการศึกษาของอินเดีย จะต้องไม่ด้อยกว่าของประเทศอื่น ๆ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่จุดเด่นของสินค้าทางการศึกษาของอินเดียคือ ราคาที่สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าประเทศอื่น ๆ เพราะต้นทุนในการผลิตของอินเดียต่ำกว่าของประเทศที่พัฒนาแล้ว

ในขณะที่อินเดียกำลังผลักดันให้ IIT เป็นสถาบันการศึกษาเพื่อการค้า ทั้งในส่วนที่ขายผลผลิต (บัณฑิตที่จบแล้ว) และขายบริการการศึกษา (รับนักศึกษาต่างชาติเข้าเรียน) อินเดียก็ผลักดันให้มีสถาบันการศึกษาเพื่อคนอินเดียขึ้นมารองรับความต้องการของสังคมอินเดีย โดยการยกระดับวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ (Engineering College) ที่มีอยู่ทั่วอินเดีย ให้เป็นสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Institute of Technology = NIT)

รูปแบบการบริหารจัดการของ NIT ใช้ระบบเดียวกับ IIT ทุกประการ ไม่ว่าในแง่ของการจัดแบ่งพื้นที่ให้การศึกษาและรูปแบบขององค์กร รวมทั้งหลักสูตรการศึกษา ต่างแต่เพียงว่า NIT มีเป้าหมายอยู่ที่การศึกษาของชาวอินเดียระดับกลางลงไป ขณะที่ IIT มีเป้าหมายอยู่ที่ระดับกลางขึ้นไปและต่างชาติ

ปัจจุบันรัฐบาลแห่งอินเดียได้จัดตั้งสถาบัน NIT ขึ้นมาแล้ว 8 แห่ง และแบ่งเขตรับผิดชอบเหมือน IIT ทุกประการ

เมื่อมองดูความเคลื่อนไหว ของอุดมศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของอินเดียแล้วพบว่า อินเดียกำลังนำระบบการตลาดมาใช้ กับการบริหารจัดการอุดมศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ การจัดวางสินค้าคือการศึกษาให้มีระดับต่างกัน เป็นกลยุทธ์ของระบบการตลาดที่มุ่งกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เพื่อความสะดวกในการทำตลาด

ปรากฏการณ์ของ IIT และ NIT ของอินเดียนั้น มีนัยส่อแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวครั้งสำคัญของระบบอุดมศึกษา อินเดียที่ไม่สามารถนิ่งเฉยต่อกระแสโลกได้อีกต่อไป และนี่ก็เป็นอีกภาพหนึ่งของความเคลื่อนไหวในระบบอุดมศึกษาอินเดีย ที่ไทยเราสามารถมองดูเพื่อศึกษาและเรียนรู้ได้

อายุรเวทสอนว่า มนุษย์เป็นเพียงหน่วยเล็ก ๆ ของจักรวาล จักรวาลก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ (นั่นคือ สอนถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และจักรวาล มนุษย์เป็นหน่วยเล็กๆ ที่ถอดแบบจากจักรวาล ดังนั้น จักรวาลจึงเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ด้วย)

เมื่อ เปรียบกับสิ่งแวดล้อมภายนอก,เอกภพ พลังของมนุษย์ก็ดุจทารก ความเป็นปัจเจกชนของมนุษย์ทำให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างแปลกแยกตัวตนจากจักรวาล อายุรเวทมองสุขภาพและการเจ็บป่วยอย่างเป็นองค์รวม (ทั้งร่างกายและจิตใจ) พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงความสัมพันธ์โดยธรรมชาติระหว่าง ปัจเจกบุคคลและอิทธิพลของจิตใจ, ปัจเจกบุคคลและสภาวะของสติ (ความรู้สึกตัว), พลังงานและวัตถุ ดังนั้นในคำสอนของอายุรเวท มนุษย์ทุกๆ คนประกอบด้วยชีวเคมีและสัญชาตญาณภายในตน ๔ อย่าง : ศาสนา, การเงิน, การสร้างครอบครัว และสัญชาตญาณในการใฝ่หาอิสรภาพ (หรือกล่าวได้ว่า ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ, ต้องการความมั่นคงทางการเงิน, ต้องการมีผู้สืบสกุล และต้องการความเป็นอิสระ)

สุขภาพที่สมดุลเป็นพื้นฐานในการบรรลุเป้าหมายตามสัญชาตญาณ ดังกล่าว

อายุรเวท ช่วยให้คนปกติรักษาสุขภาพไว้ และช่วยให้ผู้เจ็บป่วยมีสุขภาพดีขึ้น อายุรเวทเป็นศาสตร์ของชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทางการแพทย์และ อภิปรัชญา เป็นแม่บทแห่งศิลปะการรักษาทั้งหมด กิจปฏิบัติของอายุรเวทได้ถูกออกแบบเพื่อส่งเสริมให้มนุษย์มีความสุข, สุขภาพดีและพัฒนาการเจริญเติบโตอย่างสร้างสรรค์ คำสอนของอายุรเวทครอบคลุมองค์ความรู้ในการปฏิบัติเพื่อบำบัดตนเอง เป็นความรู้ที่ใครๆ ก็สามารถฝึกได้ ด้วยความสมดุลที่เหมาะสมของพลังงานทั้งหมดในร่างกาย การปฏิบัติตามแนวทางอายุรเวทสามารถชะลอความเสื่อม ลดทอนโรคภัยจากกระบวนการทางกายภาพ ตลอดจนกำจัดอาการเจ็บไข้ลงได้อย่างเห็นผลชัดเจน แนวคิดนี้เอง คือ พื้นฐานศาสตร์อายุรเวท ศักยภาพเฉพาะบุคคลในการบำบัดรักษาตนเอง

แปลจาก : ayurveda the science of self-healing

ผู้แปล: พ่อทองอินทร์ เพียภูเขียว, รุ่งลาวัลย์ สมานชาติ

หลักการหรือทฤษฎีแพทย์แบบชาวตะวันออก แตกต่างจากการแพทย์แบบตะวันตก ทฤษฎีการแพทย์ไทยว่าด้วยเรื่องธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชาวจีนใช้หลัก ๕ ธาตุ และหลักการสรรพสิ่งมีคู่ตรงข้าม คือ ร้อน-เย็น อ่อน-แข็ง หรือหลักการของหยินหยางนั่นเอง สำหรับอายุรเวทซึ่งยอมรับกันว่ามีอิทธิพลกับการแพทย์แผนไทยอย่างมาก ใช้หลักการของธาตุทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลมไฟ และอากาศธาตุ

อากาศธาตุ ซึ่ง แตกต่างจากธาตุทั้ง ๔ ของไทยนั้น พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ความว่างหรือช่องว่าง หรือบางคนแปลว่า ที่ซึ่งไม่มีความหนาแน่น ถ้าเปรียบกับร่างกายมนุษย์ ธาตุดิน คือมวลมีความหนาแน่นและมีน้ำหนักก็คือ กระดูก ข้อต่างๆ หรือที่เป็นโครงสร้างร่างกายเนื้อหนัง ธาตุน้ำ ก็พวกของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด และสารต่างๆที่หลั่งออกมาจากต่อม ธาตุลม คือลมหายใจ หรือหมายถึงลมหรือก๊าซที่ไหลเวียนในร่างกาย ธาตุไฟ คือพลังงานที่ช่วยย่อยอาหาร และความร้อนเพิ่มไออุ่นในร่างกาย

แต่ ถ้าไม่มีช่องว่างหรืออากาศธาตุ ก็เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆ ที่ไม่มีช่องหน้าต่างและประตู ทุกอย่างจะอึดอัด เคลื่อนไหวไม่ได้ ศาสตร์อายุรเวทจึงให้ความสำคัญกับอากาศธาตุด้วย

เมื่อ แบ่งสรรพสิ่งเป็น ๕ ธาตุแล้ว อายุรเวทยังย่นย่อจัดแบ่งธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีแนวโน้มแสดงคุณสมบัติเด่นๆ ออกมา แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือ วาตะ ปิตตะ และกผะ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของร่างกาย เช่น มีวาตะเด่นคือมีธาตุลมและอากาศธาตุมากกว่าธาตุอื่นๆ มีปิตตะเด่นจะมีธาตุไฟมาก และมีกผะเด่นจะมีธาตุดินและธาตุน้ำอยู่มาก

ผู้ อ่านบางท่านอาจเคยวิเคราะห์ตัวเองบ้างแล้วว่าร่างกายจัดอยู่ในลักษณะเด่น อะไร เป็นวาตะหรือปิตตะหรือกผะ แต่ถ้าบางท่านไม่รู้ก็อาจจำแนกอย่างง่ายได้ โดยดูจากโครงสร้างร่างกาย และพฤติกรรมประจำตัวบางอย่าง เช่น ลักษณะวาตะ รูปร่าง ผอมบาง กินเท่าไรก็ยังผอม ข้อต่างๆ ปูดเห็นได้ชัด เป็นคนที่ทำอะไรว่องไวและไวต่อสิ่งกระตุ้น เป็นคนอ่อนไหว ลักษณะของปิตตะ รูปร่างปานกลาง มีกล้ามเนื้อมากกว่าวาตะ นิสัยส่วนตัวใจร้อน ดุดัน หรือเป็นคนกล้า สำหรับลักษณะกผะ คนประเภทนี้เจ้าเนื้อ น้ำหนักตัวขึ้นง่าย มีนิสัยส่วนตัวเนิบๆ ดูผ่อนคลายเสมอ การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นก็เป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็เป็นคนที่อดทนสูง ผิดกับคนวาตะและ ปิตตะ ที่ไม่ค่อยทนนัก

แต่ ต้องเข้าใจกันอีกนิดว่าโดยธรรมชาติของคนจะมี วาตะ ปิตะ กผะ ผสมอยู่ในตัวเสมอ เพียงแต่ว่าจะมีลักษณะใดเด่นกว่า บางคนเด่นทั้งสองลักษณะ จับเป็นคู่ๆ เช่น วาตะปิตะ ปิตะกผะ แต่ไม่ว่าจะมีลักษณะเด่นอย่างไร ศาสตร์อายุรเวทกล่าวไว้ถึงการสร้างความสมดุลให้กับคนทั้ง ๓ ลักษณะไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเป็นการปรับปรุงกิจวัตรประจำวันธรรมดาๆ แต่ส่งผลต่อความสมดุลในร่างกาย ซึ่งช่วยให้สุขภาพดีโดยที่ไม่ต้องใช้เงินทอง เหมาะกับยุคเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างยิ่ง

ศาสตร์อายุรเวทแนะนำตั้งแต่เริ่มชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความสำคัญกับทุกลักษณะทั้งวาตะ ปิตตะ กผะ สำหรับคนที่มีวาตะเด่น โดย ทั่วไปมักไม่ค่อยรู้ว่านิสัยประจำตัวนั้นมีผลทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้ง่าย เพราะคนวาตะเป็นผู้ที่อ่อนไหวง่าย ตื่นเต้นกระวนกระวายง่าย เปลี่ยนแปลงง่ายคล้ายกระแสลมที่พัดไปพัดมาได้ง่าย ดังนั้นตั้งแต่ตื่นนอนของคนวาตะ ถ้าเริ่มต้นพยายามตื่นและทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นเวลา จะช่วยลดความว่องไว ตื่นเต้น ให้ช้าลง เพียงเท่านี้ก็ช่วยสร้างสุขภาพได้มาก เพราะการปล่อยให้วาตะไหลเวียนมากเกินไป ก็ทำให้ปิตตะเพิ่มขึ้น กผะซึ่งเป็นมวลดินและน้ำไม่สามารถเกาะตัวได้ เปรียบดังลมสงบบ้าง เนื้อหนังก็สามารถรวมตัวหรือฟื้นฟูกลับมาได้ สุขภาพก็จะสมดุลขึ้น คนวาตะอาจรู้สึกว่าต้องทำตัวเข้ารูปเข้ารอยมีวินัยขึ้น แต่ผลที่มีต่อสุขภาพจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายขึ้น ธาตุอื่นๆ สามารถดำรงอยู่อย่างสมดุลขึ้นนั่นเอง

สำหรับคนปิตตะธาตุไฟ ซึ่งทางอายุรเวทอธิบายไว้ว่า โดยทั่วไปไฟจะโหมเพราะแรงลม ปิตตะจึงสัมพันธ์กับวาตะมาก วาตะอ่อนไหว แปรปรวนได้ง่ายส่งผลทำให้ปิตตะเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นคนปิตตะและวาตะจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการเข้านอนและตื่นนอนเป็น เวลา กินอาหารเป็นเวลา และต้องรู้จักเวลาพักผ่อนด้วย เพื่อไม่ให้ลมและไฟซึ่งมีแนวโน้วเปลี่ยนแปลงง่ายได้ชะลอหรือได้สงบลงบ้าง ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพมากๆ

สำหรับคนกผะ แม้ว่าจะโดดเด่นด้วยธาตุดินและน้ำ ซึ่งเป็นคนที่มีธรรมชาติเนิบช้า ไม่ค่อยว่องไวเท่าวาตะและปิตตะ แต่การใช้ชีวิตประจำวันที่ทำอะไรเป็นเวลาก็มีผลต่อคนกผะเช่นกัน เพราะการทำอะไรเป็นเวลาช่วยให้ความเนิบช้าถูกกระตุ้นให้ว่องไวขึ้นช่วยให้ สุขภาพดีขึ้นด้วย

ดังนั้นคำ กล่าวของคนโบราณที่แนะนำลูกหลานให้เข้านอนหัวค่ำเป็นเวลาและตื่นเช้าเป็น เวลา ร่วมถึงกินอยู่ให้เป็นเวลามีส่วนช่วยให้ธาตุทั้งหมดในร่างกายสมดุล และหากเข้าใจเรื่องอาหารที่กินที่ช่วยให้วาตะ ปิตะ และกผะสมดุลด้วยก็จะเสริมสร้างสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น หลักการง่ายๆ คนวาตะ ควรกินอาหารอุ่น(ร้อนน้อยๆ) มีความหนัก และความมันบ้าง และควรเลี่ยงอาหารเย็น แห้ง เบา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไปกระตุ้นวาตะ ตัวอย่างอาหาร เช่นผลไม้ให้กินรสหวานและเปรี้ยว อาจเป็นกล้วย มะละกอ มะม่วง

คนปิตตะ ควรกินอาหารรสเย็น เพื่อลดความร้อนลงบ้าง รวมทั้งลดอาหารมันๆ ลงด้วย เพราะความมันจะไปเพิ่มพลังความร้อนยิ่งขึ้น รวมถึงลดอาหารรสเผ็ดๆ ข้อแนะนำของคนไฟแรง คือ อาหารรสหวาน รสขม และรสฝาด จะช่วยให้สมดุลในร่างกายดีขึ้น ตัวอย่างผลไม้ เช่น องุ่น แตงโม สัปปะรด มะพร้าว และคนกผะซึ่งมีมวลเป็นรากฐานอยู่แล้ว และมีแนวโน้มทำอะไรค่อยเป็นค่อยไป อาหารที่ควรลด คืออาหารหวาน เปรี้ยว และมัน น่าจะเพิ่มรสอาหาร เผ็ด ฝาด ขม เพราะจะช่วยเพิ่มวาตะและปิตะ

นี่ คือหลักพื้นฐานง่ายๆ แต่ถ้าเริ่มทำเป็นประจำ ด้วยการเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา เพียง ๒-๓ สัปดาห์ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ความสมดุลเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เริ่มที่ตัวเรานี่เอง

กินให้สวยแบบอายุรเวท

อายุรเวทหรือศาสตร์ที่เน้นการดูแลตัวเองแบบองค์รวมจาก อินเดีย เน้นหนักหนาว่าผู้หญิงเราจะสวยจริงได้ ต้องสวยจากภายในและสวยอย่างมีสุขภาพดี เราจึงจะสวยแบบมีคุณภาพและยาวนาน โดยที่ธรรมชาติจะเป็นผู้ดูแลเราเอง

เคล็ดสวยใสแบบไม่ต้องง้อเคมีและได้ความงามแบบยาวนานเป็นผลลัพธ์นี้ มีเงื่อนไขอย่างหนึ่งตรงที่เราจะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง และให้ความสำคัญจากสุขภาพภายใน แต่อย่าเพิ่งวิตกกังวลไป เพราะเป็นการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ที่เป็นเทคนิคสบายๆ ในชีวิตประจำวัน และได้ทำได้จริง เรายังได้เรื่องของภูมิคุ้มกันดีๆ มาเป็นของแถมอีกด้วย

ปรับวิธีกิน

คอลลาเจนบนผิวตามธรรมชาติต้องการการดูแลไม่ต่างกัน อย่าปล่อยให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพไวด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบหรี่ รวมทั้งหมั่นกินอาหารที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะการดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ และกินผักผลไม้สด สะอาดในทุกๆวัน เลี่ยงอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง และอาหารที่ผ่านขั้นตอนมาก (เช่นข้าวกล้อง ย่อมผ่านขั้นตอนน้อยกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยว) อาหารดีๆ จะเป็นปราการผิวให้แข็งแรง และยังไม่เพิ่มพิษภายในร่างกายที่จะไปอุดตันการไหลเวียนด้วย

เสริมวิตามิน

หากเราได้รับวิตามินในแต่ละวันไม่เพียงพอ เราสามารถทดแทนได้ด้วยผักชนิดต่างๆ โดยเฉพาะผักที่มีสีสันต่างๆ ที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวได้ด้วย ในขณะเดียวกัน ผักใบเขียวก็มีแร่ธาตุสูง เหมาะแก่การเพิ่มสารอาหารที่จำเป็น และยังทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

น้ำผลไม้สิดี

น้ำผลไม้หลายๆ ชนิดดีกับผิว เพราะมีสารแอนติออกซิแดนท์สูง และยังมีน้ำตาลน้อยกว่าน้ำหวานๆ ทั้งหลาย โดยเฉพาะน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลมากถึง 8 ช้อนชา (ในขวดเล็ก) ลองปรับกันใหม่โดยหันมาดื่มน้ำผลไม้อย่าง น้ำลูกพรุน น้ำฝรั่ง น้ำองุ่น น้ำทับทิม น้ำแอปเปิล เป็นต้น นี่ล่ะเมนูดีๆ เพื่อสุขภาพผิวอย่างแท้จริง

ทานโปรตีนที่ย่อยง่าย

โปรตีนเป็นหนึ่งในหมวดอาหารที่สำคัญต่อการซ่อมแซมเซลล์ผิว แต่จะดีกว่า ถ้าเรารู้จักทานโปรตีนที่ย่อยง่ายๆ อย่างเนื้อไก่ เนื้อปลา เต้าหู้ โยเกิร์ต หรือถั่วชนิดต่างๆ และทานเป็นประจำในมื้อเช้าและมื้อกลางวัน เพื่อให้ร่างกายได้นำไปใช้อย่างเต็มที่

สมุนไพรช่วยล้างพิษ

เลือกทานอาหารที่มีสมุนไพรเป็นส่วนผสมจะเป็นการดี เพราะเครื่องปรุงจำพวกขมิ้น พริก พริกไทยดำ และผักชี มีฤทธิ์ทางธรรมชาติที่ช่วยล้างพิษ การไหลเวียนดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยให้เต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยให้ผิวดูสะอาด ผ่องใสอย่างเป็นธรรมชาติ

ปรุงในแนวทางธรรมชาติ

เครื่องอุ่นอาหารไมโครเวฟ อาจทำให้ชีวิตสะดวกง่ายดาย แต่คลื่นที่เข้ามาปะปนในอาหารกลับไม่ใช่ธรรมชาติที่ร่างกายชื่นชอบ ที่สำคัญยังทำลายแอนติออกซิแดนท์ในอาหารลงไปถึง 85 เปอร์เซ็นต์ และวิธีการปรุงที่ดีต่อสุขภาพนั้น ควรเป็นการอบ และการย่างแบบไม่ใช้น้ำมัน

จาก http://www.sabai-arom.com/eat_beauty.html

อายุรเวทสอนว่า มนุษย์เป็นเพียงหน่วยเล็ก ๆ ของจักรวาล จักรวาลก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ (นั่นคือ สอนถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และจักรวาล มนุษย์เป็นหน่วยเล็กๆ ที่ถอดแบบจากจักรวาล ดังนั้น จักรวาลจึงเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ด้วย)

เมื่อ เปรียบกับสิ่งแวดล้อมภายนอก,เอกภพ พลังของมนุษย์ก็ดุจทารก ความเป็นปัจเจกชนของมนุษย์ทำให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างแปลกแยกตัวตนจากจักรวาล อายุรเวทมองสุขภาพและการเจ็บป่วยอย่างเป็นองค์รวม (ทั้งร่างกายและจิตใจ) พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงความสัมพันธ์โดยธรรมชาติระหว่าง ปัจเจกบุคคลและอิทธิพลของจิตใจ, ปัจเจกบุคคลและสภาวะของสติ (ความรู้สึกตัว), พลังงานและวัตถุ ดังนั้นในคำสอนของอายุรเวท มนุษย์ทุกๆ คนประกอบด้วยชีวเคมีและสัญชาตญาณภายในตน ๔ อย่าง : ศาสนา, การเงิน, การสร้างครอบครัว และสัญชาตญาณในการใฝ่หาอิสรภาพ (หรือกล่าวได้ว่า ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ, ต้องการความมั่นคงทางการเงิน, ต้องการมีผู้สืบสกุล และต้องการความเป็นอิสระ)

สุขภาพที่สมดุลเป็นพื้นฐานในการบรรลุเป้าหมายตามสัญชาตญาณ ดังกล่าว

อายุรเวท ช่วยให้คนปกติรักษาสุขภาพไว้ และช่วยให้ผู้เจ็บป่วยมีสุขภาพดีขึ้น อายุรเวทเป็นศาสตร์ของชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทางการแพทย์และ อภิปรัชญา เป็นแม่บทแห่งศิลปะการรักษาทั้งหมด กิจปฏิบัติของอายุรเวทได้ถูกออกแบบเพื่อส่งเสริมให้มนุษย์มีความสุข, สุขภาพดีและพัฒนาการเจริญเติบโตอย่างสร้างสรรค์ คำสอนของอายุรเวทครอบคลุมองค์ความรู้ในการปฏิบัติเพื่อบำบัดตนเอง เป็นความรู้ที่ใครๆ ก็สามารถฝึกได้ ด้วยความสมดุลที่เหมาะสมของพลังงานทั้งหมดในร่างกาย การปฏิบัติตามแนวทางอายุรเวทสามารถชะลอความเสื่อม ลดทอนโรคภัยจากกระบวนการทางกายภาพ ตลอดจนกำจัดอาการเจ็บไข้ลงได้อย่างเห็นผลชัดเจน แนวคิดนี้เอง คือ พื้นฐานศาสตร์อายุรเวท ศักยภาพเฉพาะบุคคลในการบำบัดรักษาตนเอง

แปลจาก : ayurveda the science of self-healing

ผู้แปล: พ่อทองอินทร์ เพียภูเขียว, รุ่งลาวัลย์ สมาน

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท