คัมภีร์วิถีกุฏฐโรค
ศุภฤกษ์ ภมรรัตนปัญญา
- กล่าวถึงโรคผิวหนังที่เกิดจากความแปรปรวนของกองธาตุตาม
คัมภีร์วิถีกุฏฐโรค
- โรคผิวหนังที่เกิดจากสาเหตุอื่น ตามคัมภีร์วิถีกุฏฐโรค
โรคผิวหนังที่เกิดจากความแปรปรวนของกองธาตุตามคัมภีร์วิถีกุฏฐโรค
สาเหตุ จากกิมิชาติหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดความแปรปรวนของธาตุทั้งสี่ ได้แก่ กุฏฐโรคที่เกิดจากกองปถวี กองอาโป กองเตโช และกองวาโยธาตุ
๑. กุฏฐโรคที่เกิดจากกองปถวีธาตุ การรักษา
-
ยากิน เบญจเหล็ก เบญจมะขามป้อม เบญจข่อย เบญจมะยมตัวผู้ สิ่งละ ๑๐ ส่วน ยาข้าวเย็นทั้งสอง กำมะถันเหลือง สิ่งละ ๒๐ ส่วน มะพร้าวไฟ ๑ ผล เอาทั้งเนื้อ ต้มด้วยสุราครึ่งหนึ่ง น้ำครึ่งหนึ่ง ให้กินพอควร
-
ยาอาบ เอื้องเพ็ดม้า เบญจลำโพง เบญจตาเสือ ต้มอาบ
๒. กุฏฐโรคที่เกิดจากกองอาโปธาตุ
-
อาการ โลหิตและน้ำเหลืองกำเริบ หย่อน พิการระคนกัน ทำโทษให้เสียวลึกไปในชิ้นเนื้อและผิวหนัง บางทีเขม่นตามเส้นเอ็นและผิวเนื้อ ถ้าเริ่มเป็นตรงไหนจะสั่นระริกบริเวณที่เป็นก่อน แล้วตั้งขึ้นเท่าเมล็ดถั่ว เมล็ดงา คล้ายเกลื้อน ขยายขึ้นเท่าใบมะขามและโตขึ้นเรื่อย ๆ
***เนื้อตรงนั้นจะชา หยิกไม่เจ็บ ผิวนวลคล้ายผิวน้ำเต้า เรียก “เรื้อนน้ำเต้า”
ถ้ารักษาไม่หายนานไปจะเมื่อย บวมตามนิ้วมือ นิ้วเท้า ตามข้อและกระดูก แล้วเปื่อยเป็นน้ำเหลือง นิ้วมือนิ้วเท้าเริ่มกุด หูทั้งสองข้างหนาขึ้น ผิวหน้าคล้ายผิวมะกรูด แต่ไม่แดง รักษายาก
-
ยากิน : รากมะขามป้อม เบญจขัดมอญแห้ง ไส้ฟักเขียวแห้ง แซ่ม้าทลาย ยาข้าวเย็นทั้งสอง สิ่งละ ๕ ตำลึง น้ำอ้อยหนึ่งงบ เมื่อจะต้มให้เอาใบขนุนสะมะลอ ใบทองหลางใบมน สิ่งละ ๓ ใบ รองก้นหม้อก่อน
-
ยาทา : มูลตะกรันเหล็ก สารปากนกแขกเต้า กำมะถันเหลือง ใบพลูแก รากเจตมูลเพลิงแดง ขาว จุณขี้เหล็ก ปูนขาว ถ่านไม้ซาก กระเทียม ดองดึงส์ เมล็ดมะนาว เสมอภาค บดละเอียด ทำเป็นแท่งไว้ละลายน้ำมะนาวทาตัว
๓. กุฏฐโรคที่เกิดจากกองเตโชธาตุ การรักษา
-
ยากินขนานที่ ๑ ผลจันทน์ ดอกจันทน์ ผลกระวาน ผลหมากแหน ผลกระดอม ผลมูกมัน ผักแพวแดง ใบเสนียด ใบมะเดื่อดิน ใบสะเดา ใบเอื้องขาว สิ่งละส่วน ผลมะขามป้อม ๒ ส่วน ผลสมอไทย ๓ ส่วน ดีปลี ๔ ส่วน ผลกระเบาคั่วให้เหลืองก่อนผสมยาอื่น ๒๐ ส่วน บดละเอียดทำแท่งละลายสุรากิน
-
ยากินขนานที่ ๒ แก่นจันทน์หอม แก่นสน แก่นมะหาด แก่นขี้เหล็ก แก่นปรู แก่นมะเกลือ แก่นคูน แก่นเทียนต้น รากช้าเลือด จุณขี้เหล็ก สิ่งละ ๒ ตำลึง ๒ บาท ผลกระเบาหนึ่งทะนาน บดละเอียดละลายน้ำผึ้งกิน
๔. กุฏฐโรคที่เกิดจากกองวาโยธาตุ
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : เริ่มจากสมุฏฐานวาโย พิกัดลมอังคมังคานุสารีวาตาพิการ ลามให้สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ มังสังพิการและอัฏฐิพิการตามมา
-
อาการ : เมื่อจะเกิดวาโยธาตุอาจกำเริบ หย่อน พิการ พัดซ่านไปตามผิวเนื้อและผิวหนัง ทำให้เนื้อแข็งเป็นข้อขอด เป็นเม็ดเท่าผลพุทรา มะกรูด หรือมะนาว หนังและเนื้อเป็นเหน็บชา หยิกไม่เจ็บ ต่อมาแตก เปื่อยเน่าเหม็นดุจซากศพ กินจนกระดูกผุด้วน เรียก “เรื้อนมะกรูด” รักษายาก เป็น ๑๐ ส่วน รักษาได้ ๑ ส่วน
-
ยากินขนานที่ ๑ บัลลังก์ศิลา ๒ ส่วน ดินประสิวขาว ๓ ส่วน มหาหิงคุ์ กำมะถันเหลือง หรดาลกลีบทอง โหราเท้าสุนัข ปรอท สิ่งละ ๔ ส่วน ทำให้เป็นผง บดด้วยน้ำพลูแก กวน ๗ วัน ตากแดดใส่ขวดผนึกให้แน่น แล้วพอกดินเพ็ด(ดินประสิวก็ได้) ใส่ในหม้อทรายตั้งไฟให้สุก ตั้งไว้ให้เย็นแล้วกวนด้วยน้ำนมควายแล้วปั้นเท่าเมล็ดพริกไทยใส่ตลับไว้กิน วันละ ๑ เม็ดทุกวัน
- การเปรียบเทียบทางแผนปัจจุบัน
กุฏฐโรคที่เกิดจากธาตุแปรปรวน : โรคเรื้อน เดิมเรียก ขี้ทูต กุฏฐัง ไทกอ หูหนาตาเล่อ
- เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไมโคแบคทีเรียมเลแพร (Mycobacterium lepra)
- ติดต่อโดยการสัมผัสทางผิวหนังหรือสูดเข้าทางเดินหายใจ(ติดต่อยาก)
- มิใช่กรรมพันธุ์
- ระยะฟักตัว ๓-๕ ปี (ต่ำสุด ๖ เดือน และอาจนานหลายเดือน)
ชนิดของเรื้อน : ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
โรคเรื้อนไม่ทราบชนิด (Indeterminate leprosy)
- เป็นโรคเรื้อนระยะเริ่มแรก อาการยังไม่ชัดเจน
- มักพบผิวหนังเป็นวงขาวหรือสีจาง ขอบไม่ชัดเจน
- ผิวหนังบริเวณนี้มีขนร่วง เหงื่อออกน้อยกว่าปกติ
- ยังไม่ค่อยรู้สึกชา มักพบที่หลัง ก้น แขนและขา
- หากเป็นระยะนี้อาจหายเองได้ หรือกลายเป็นเรื้อนชนิดอื่น
โรคเรื้อนชนิดทูเบอรคูลอยด์(Tuberculoid leprosy)
- พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย
- ระยะแรกผิวหนังจะชาและเส้นประสาทถูกทำลาย
- ส่วนมากมีผื่นเดียวเป็นวงขาวหรือสีจางเห็นขอบชัดเจน หรือเป็นวงขาวขอบแดง หนาเป็นปื้น
- อาจมีสะเก็ดเล็กน้อยหรือไม่มีก็ได้
- เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑-๑๐ เซนติเมตร
- ตรงกลางผื่นไม่มีขน ไม่มีเหงื่อ ชา หยิกหรือใช้เข็มแทงไม่เจ็บ
- พบบ่อยบริเวณหน้า ลำตัว ก้น บางครั้งอาจพบเส้นประสาท บวมโตใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็น
- ตรวจไม่ค่อยพบเชื้อ ไม่ติดต่อ
- การอักเสบมักบรรเทาได้เองภายใน ๑-๓ ปี แต่อาจพิการ
โรคเรื้อนชนิดก้ำกึ่ง (Boderline leprosy)
- ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันน้อยกว่าชนิดทูเบอร์คูลอยด์ แต่มากกว่าชนิด เลโพมาตัส
- ผิวหนังขึ้นผื่นเป็นวงแหวนหรือวงรี ขอบนูน แดง หนา เป็นมัน ขอบในชัดเจนกว่าขอบนอก
- กลางผื่นไม่มีขน ไม่มีเหงื่อเช่นเดียวกับชนิดทูเบอร์คูลอยด์
- ตรวจพบเชื้อได้บ้าง แต่ติดต่อไปยังผู้อื่นได้
- อาการและความรุนแรงอยู่ระหว่างชนิดทูเบอร์คูลอยด์ และ เลโพมาตัส
โรคเรื้อนชนิดเลโพมาตัส (Lepromatous leprosy)
- ผู้ป่วยไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้
- เชื้อโรคเรื้อนสามารถแบ่งตัวเป็นล้าน ๆ ตัว กระจายทั่วร่างกาย
- จัดเป็นเรื้อนชนิดร้ายแรงและติดต่อง่ายที่สุด
- เส้นประสาทถูกทำลายในระยะสุดท้ายของโรค
- ผิวหนังเป็นผื่นแดง ขอบไม่ชัดเจน ต่อมาจะเห็นเป็นเม็ด เป็นตุ่ม หรือเป็นแผ่น
- ผิวมักแดงเป็นมันเลื่อม ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่ชา
- ผื่นตุ่มขึ้นกระจายทั้งสองข้างของร่างกาย
- พบบ่อยตามใบหน้า ใบหู ข้อศอก ข้อเข่า ลำตัว และก้น
- ขนคิ้วส่วนหางมักจะร่วง และขาบวม
- ระยะสุดท้ายของโรคคิ้วจะเห่อ หูหนา ตาเล่อ มีอาการชา นิ้วมือนิ้วเท้าทั้งสองงอเหยียดไม่ออก มือหงิก เท้าตก นิ้วกุด หรือ ตาบอด จมูกแหว่ง
- การรักษา
- ใช้ยาปฏิชีวนะ
- โรคเรื้อนชนิดที่ ๑-๓ (ตรวจไม่พบเชื้อหรือเชื้อน้อยมาก จนตรวจไม่พบ) รับประทานยานาน ๑ ปี
- ชนิดพบเชื้อมากต้องรับประทานยาต่อเนื่องนาน ๒ ปี
การดูแลและคำแนะนำ
- ๑. การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
- ควรจัดให้ผู้ป่วยนอนแยกจากผู้อื่น ไม่ใช้เสื้อผ้า ของใช้ร่วมกับผู้อื่น
- หากมือและเท้าชา ต้องระวังถูกของมีคมและของร้อน โดยใช้ผ้าพันมือเวลาทำงาน และสวมรองเท้าออกนอกบ้าน
- ๒. การป้องกันบุคคลในครอบครัวจากการติดเชื้อ
- ไม่คลุกคลีผู้ป่วยในระยะติดต่อ
- หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ เสื้อผ้าร่วมกับผู้ป่วย
- ตรวจสุขภาพสมาชิกของครอบครัว โดยเฉพาะโรคผิวหนัง หากผิดปกติรีบพบแพทย์
โรคผิวหนังที่เกิดจากสาเหตุอื่นตามคัมภีร์วิถีกุฏฐโรค
- กล่าวถึงโรคผิวหนังที่เชื้อโรคอาศัยกินอยู่ในชิ้นเนื้อ ๓ ประเภท
๑. โรคเรื้อนที่เกิดจากชาติสัมพันธ์ตระกูล : เป็นตามกรรมพันธุ์
๒. โรคเรื้อนที่เกิดด้วยสามัคคีรส : เป็นตามคู่สามัคคีหรือคู่สมรสหรือผู้ที่อยู่กินหลับนอนด้วย
๓. โรคเรื้อนที่เกิดเป็นอุปปาติกะ : เกิดเองโดยหาสาเหตุไม่ได้
โรคเรื้อนที่มีสาเหตุทั้ง 3 ประเภทแบ่งเป็นโรคเรื้อน ๙ ชนิด
๑. เรื้อนกวาง
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : เริ่มที่สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ
- อาการ : เริ่มเป็นตามข้อมือ ข้อเท้า และชายผมบริเวณต้นคอ (กำด้น)
- การรักษา
- ขนานที่ ๑ หนังคอกเผาไฟ ละลายน้ำมันงาทาที่แผล ระวังไม่ให้ถูกน้ำ ๓ วัน ทาให้ได้ ๓ หน
- ขนานที่ ๒ ศีรษะสุนัขตายที่คางยังติดอยู่(ยังมีไขกระดูก) เผาไฟให้ไหม้ บดละเอียด ละลายน้ำมันงาทาแผล
- ขนานที่ ๓ เห็ดร่างแห เห็ดมูลโค เสมอภาค บดละลายน้ำมันงาทา
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
อาการคล้ายโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เกิดในผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้จากกรรมพันธุ์ (autopic dermatitis)
๑. หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง ควรอาบน้ำฟอกสบู่อ่อนวันละครั้ง ไม่ควรอาบน้ำบ่อย
๒. รักษาอุณหภูมิร่างกายให้พอเหมาะ ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป
๓. งดอาหารที่ทำให้แพ้ง่าย เช่น นม ไข่ อาหารทะเล ยาบางชนิด
- ถ้าไม่ได้รักษาอาจเสียชีวิตภายใน ๑๐-๒๐ ปี
- กล้ามเนื้อมือ อ่อนแรง ชา อาจทำให้นิ้วมือนิ้วเท้ากุดหายไป
- อาจมีการทำลายของกระดูกและเป็นหมันเนื่องจากอัณฑะฝ่อหรือมีอาการทางไตร่วมด้วย
๒. เรื้อนมูลนก
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ
- อาการ : ผุดขึ้นเป็นแว่น เป็นวงตามผิวหนังเล็กก็มีใหญ่ก็มี สีขาว ขอบนูนคล้ายกลาก คัน ถ้านานเข้าจะลามไปทั้งตัว รักษาหายบ้างไม่หายบ้าง แต่ไม่ตาย
- การรักษา
- ขนานที่ ๑ยาทั้งกินทั้งทา : หัวว่านอิน ผลกระเบา ผลกระเบียน ผลลำโพงแดง ผลบวบขม ขอบชะนางทั้งสอง ใบรักขาว ใบกรวยป่า กำมะถัน เสมอภาค ตำเอาน้ำ สิ่งละทะนาน น้ำมันงา ๑ ทะนานหุงให้เหลือแต่น้ำมัน ทาหรือปั้นกิน
- ขนานที่ ๒ยากิน : ข้าวเย็นทั้งสอง หัวยั้ง รากมะดูก ขันทองพยาบาท หนอนตายอยาก โรคแดง โรคขาว กุ่มน้ำ กุ่มบก กำมะถัน ข่าต้น เปล้าน้อย เปล้าใหญ่ ดีบุกดำ ชามเทพนม(เบญจรงค์ มีสารหนู) เสมอภาค ต้มกิน
- ขนานที่ ๓ยาทา : ใบลำโพง ใบกรวยป่า ข่าหลวง ใบพลูแก เอื้องเพ็ดม้า ใบกุ่มบก ใบกุ่มน้ำ ใบขอบชะนางแดง ใบขอบชะนางขาว เสมอภาค บดละเอียดละลายน้ำสุราทา
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
คล้ายโรคสะเก็ดเงินซึ่งเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง เกิดจากการหนาตัวของชั้นหนังกำพร้า ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เชื่อว่าอาจ เป็นกรรมพันธุ์
๑. ผู้ป่วยอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ เนื่องจากไม่ติดต่อ
๒. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียด
๓. หลีกเลี่ยงการขูดข่วนผิวหนัง
๔. ควรให้ผิวหนังถูกแสงแดด แต่ไม่นานเกินไป
๓. เรื้อนวิมาลา
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ
- อาการ : ผุดขึ้นที่ใบหูและชายผมบริเวณต้นคอก่อน แล้วเปื่อยพุพอง คัน ลักษณะคล้ายมะเร็งไร(เป็นเม็ดเล็ก ๆ ละเอียดเป็นปื้นและแถวขึ้นมา) ยิ่งเกายิ่งคัน
- การรักษา
- ขนานที่ ๑ยาทา : ใบบอน ใบบัวหลวง ใบตาลหม่อน ใบขนุนละมุด ใบหวายขม สิ่งละส่วน หญ้ายองไฟ ผลกระเบา ผลกระเบียน ผลลำโพงแดง สิ่งละ ๒ ส่วน บดละเอียดทำเป็นแท่งไว้ เมื่อ จะใช้นำมาละลายน้ำมันงา
- ขนานที่ ๒ยาทา : ใบกรวยป่า ใบยาสูบ ใบเลี่ยน ใบลำโพงแดง ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ใบมะระ ใบรักขาว มะพร้าวแกะ เกลือธาร เสมอภาค ตำละเอียดคั้นเอาแต่น้ำทา
- ขนานที่ ๓ยากิน : ผลลำโพงแดง ใบกรวยป่า ขอบชะนางทั้งสอง ใบรักขาว เสมอภาค บดละเอียดละลายน้ำมันดิบทา
- ขนานที่ ๔ยากิน : ยาข้าวเย็นเหนือ ยาข้าวเย็นใต้ ขันทองพยาบาท หนอนตายอยากแดง ไฟเดือนห้า คงคาเดือด กำมะถันเหลือง รากตะขบ รากมะดุก ถ่านไม้ซาก(ถ่านไม้ มีก้อนเล็กย่อย เนื้อแข็ง ไม่มีขี้เถ้า ให้ไฟลุกแรงมีพิษแรงมาก แค่รมควันจะหลับทั้งบ้าน อาจเสียชีวิตได้) สิ่งละ ๕ ตำลึง เนื้อสมันแผ่นหนึ่ง(ใช้เนื้อวัวแทนได้) เท่าฝ่ามือ มะพร้าวไฟลูกหนึ่งต้ม
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
คล้ายโรคผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการสัมผัสสารระคายเคือง เช่น การสัมผัสสบู่ ผงซักฟอก ยาย้อมผม พลาสเตอร์ และอื่นๆ
พิจารณาสิ่งที่แพ้ แล้วพยายามหลีก
๔. เรื้อนหูด
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการและมังสังพิการ
- อาการ : ผุดเป็นตุ่มทั่วตัว เท่าเมล็ดพริกไทย เมล็ดถัวเขียว ผลตะขบ ผลมะนาว มะกรูดก็มี ให้เมื่อยไปทั้งตัวแต่ไม่ตายทันที
- การรักษาขนานที่ ๑
- ยารม : หนามรอบข้อ หนามพุงดอ หนามแดง หนามพุทรา หนามเล็บเหยี่ยว หนามพรม หนามคัดเค้า หนามโยทะ หนามส้มป่อย หนามหวายขม หนามหวายโป่ง หนามไผ่สีสุก กำมะถันเหลือง เสมอภาค ใส่หม้อ(ไม่ใส่น้ำ) ตั้งไฟขึ้นรมควันเข้ากระโจมอบทั้งตัว
- ขนานที่ ๒
- ยาต้มอาบ : ใบพลับพลึง ใบข่าหลวง ใบขิง เปลือกตะเคียน เบญจลำโพงกาสลัก เสมอภาค ต้มอาบทุกวัน แล้วจึงเอายารม ตั้งไฟ
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
ตุ่มเนื้องอกตามเส้นประสาท ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
๕. เรื้อนเกล็ดปลา
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ
- อาการ : มักเริ่มขึ้นที่หน้าก่อน แล้วลามถึงต้นคอ ทรวงอก ลามเป็นเกล็ดทั่วตัว ผิวดำ
- การรักษา ขนานที่ ๑ยาทา : ปรอทบริสุทธิ์ บัลลังก์ศิลา กำมะถันแดง กำมะถันเหลืองเสมอภาค บดละเอียดแล้วจึงเอาใบมะขาม ใบส้มป่อย สิ่งละ ๑ ชั่ง ใส่น้ำ ๕ ทะนาน เคี่ยวเหลือ ๑ ทะนานแล้วนำมาเคล้ากับยาที่บดไว้
ตากแดดให้แห้งประมาณ ๘ วัน จึงสับผิวผู้เป็นโรคเรื้อนให้
เลือดออกแล้วทายา
- ขนานที่ ๒ยาทา : ผลมะเดื่อป่า เบญจข่าป่า เสมอภาค บดละเอียด พริกไทยรำหัด บดละเอียดผสมกับยา ๒ ชนิดแรก ละลายน้ำผึ้งรวงใส่ผะอบ ฝังข้าวเปลือกไว้ ๑ เดือน อย่าให้มดตอม นำมาเสกคาถา แล้วทาวันละครั้ง
- ขนานที่ ๓ยาต้มอาบ : เบญจลำโพงกาสลัก เบญจมะฝ่อ ใบตองกล้วยตีบแห้ง เสมอภาค ต้มอาบทุกวัน
- ขนานที่ ๔ยากิน : รากปีบ รากมูลหนอน รากพุง รากหญ้านาง รากตาเสือ เสมอภาค บดละเอียดดองด้วยสุราฝังข้าวเปลือกไว้แล้วกิน
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
โรคผิวหนังเกล็ดปลา ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
๖. เรื้อนหิด
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ
- อาการ : มักเริ่มเป็นเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นทั้งตัวแล้วลามออกคล้ายเป็นกลาก
- การรักษา
- ขนานที่ ๑
- ยาทา : ใบถั่วแปบ ใบถั่วแระ ใบเจตมูลเพลิง ใบย่านทราย
- ขนานที่ ๒
- ยากิน : รากป่าช้าหมอง กำแพงเจ็ดชั้น โรคทั้งสอง เชือกเขาหนัง ต้นไข่แลน หญ้าหนวดแมว หัวยั้ง ยาข้าวเย็น สิ่งละ ๒ ตำลึง ๒ บาท กะลามะพร้าวไฟ ๓ ซีก ตาไม้ไผ่ป่า ๗ ตา ต้มกิน
- ขนานที่ ๓
- ยากิน : บุกรอ กลอย รากกระถินแดง รากทองพันชั่ง หางไหลแดง สิ่งละ ๒ ตำลึง ๒ บาท ยาข้าวเย็นทั้งสอง สิ่งละ ๕ ตำลึง ต้มกิน
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
โรคผิวหนังอักเสบจากตัวหิด ซึ่งเป็นตัวไรเล็ก ๆ ชื่อ Sarcoptes scabiei
๗. เรื้อนดอกหมาก
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ
- อาการ : มักเริ่มผุดตามตัวเป็นสีขาว ๆ คล้ายดอกมาก จะคันมากเมื่อเหงื่อออก ต้องเกาจนน้ำเหลืองซึมจึงหายคัน
- การรักษา : มียา ๓ ขนาน เช่นเดียวกับเรื้อนหิด
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
เกลื้อนดอกหมาก (Pityriasis vesicolor) จากเชื้อรา ชื่อ Malassezia furfur หรือ Pityrosporum orbiculare
๘. เรื้อนบอน
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ
- อาการ : แรกผุดขึ้นเป็นรูปรุ มองไม่ค่อยเห็นหรือเห็นไม่ชัด มีสีขาว ๆ แดง ๆ จาง ๆ
- การรักษา : มียา ๓ ขนาน เช่นเดียวกับเรื้อนหิด
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
ยังไม่ชัดเจนที่จะระบุว่าเป็นโรคใด แต่ลักษณะเป็นเกลื้อนชนิด erythematous type ซึ่งมีสีแดง พบในผู้ที่มีผิวขาวเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณผิวหนังทำให้มองเห็นเป็นรอยแดง
๙. เรื้อนมะไฟ
- ที่ตั้งที่แรกเกิด : สมุฏฐานปถวี พิกัดตะโจพิการ
- อาการ : เริ่มเกิดเป็นเกล็ดแดง ขอบขาวใหญ่เท่าผลมะไฟ มักร้อนเหมือนถูกไฟและผิวหนังจะพองขึ้น
- การรักษา : มียา ๓ ขนาน เช่นเดียวกับเรื้อนหิด
- การเปรียบเทียบโรคทางแผนปัจจุบัน
กลากหรือเกลื้อน จากเชื้อราชนิดตื้นในกลุ่มเดอมาโตไฟต์(dermatophyte) ซึ่งทำให้เกิดโรคผิวหนังแทบทุกส่วนของร่างกาย ที่พบบ่อยคือตามลำตัว (tinea corporis)