หลักธรรมคำคมข้อคิดชีวิตรักจากแดจังกึม3
โสภณ เปียสนิท
........................................
ผมเขียนหลักธรรมคำคมข้อคิดจากแดจังกึมในคอลัมน์นี้มาสองตอน แดยังมีความรู้สึกว่าที่เขียนผ่านไปแล้วนั้นเป็นเพียงแค่บทนำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังมีหลักธรรมคำคมข้อคิดจำนวนมากที่ผมยังไม่ได้นำมาเขียนให้คุณผู้อ่านรับทราบ หากผ่านเลยไปของดีมีประโยชน์อาจถูกปล่อยให้ผ่านเลยอย่างน่าเสียดาย
ระหว่างการอ่านนิยายเรื่องแดจังกึมทั้งสี่เล่ม หนาราวหนึ่งพันกว่าหน้านั้น ผมอ่านไปขีดเส้นใต้ เฉพาะหลักธรรมคำคมข้อคิดที่สำคัญไปด้วย เมื่ออ่านจบแล้วพบว่า มีสารัตถะเฉพาะส่วนที่ขีดเส้นใต้จำนวนมาก หากนำเสนอทางคอลัมน์ “น้อมนำในคำนึง” สู่คุณผู้อ่านที่มีความพึงพอใจในแดจังกึมอยู่แล้ว จักได้รับประโยชน์เพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
“ความฝันที่ลืมไปชั่วขณะปรากฏขึ้นอีกครั้ง เหตุใดจึงเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เห็นในฝัน? เป็นเพราะเหตุใดกันแน่? ชอนซูค่อย ๆ ลากเท้าอันหนึกอึ้ง เข้าหาตำแหน่งแผลงศร” (แดจังกึม /หน้า18 /เล่ม1)
ข้อคิดที่นำเสนอนี้เพราะชนชาติไหนก็มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับความฝัน นิยายเรื่องนี้เริ่มตอนแรกด้วย “เทพนิมิต” เป็นเรื่องที่ซอชอนซู ว่าที่บิดาของนางเอกฝันถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนเองล่วงหน้า ชนิดที่ฝันแล้วจำได้ติดหูติดตา ฝันแล้วไม่ทันไรเหตุการณ์นั้นก็ปรากฏขึ้นกับตนเอง
“ทิวากลางเดือนแปด แต่ฟ้ากลับดูหมองหม่นจนน่าประหลาด เงาขอบทางเดินป่าสั่นพลิ้วไปมาราวกับหางนก ชงซากวานแห่งเนกึมวีควบม้าเบิกทางเบื้องหน้าแก่เฮียงบังซึงจี....” (แดจังกึม /หน้า20 /เล่ม1)
คำบรรยายถึงบรรยากาศรอบตัวเพื่อเพิ่มอารมณ์และความรู้สึกถึงเหตุการณ์ในด้านร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างสอดคล้อง ถ้อยคำที่ใช้บรรยายที่ใช้ให้ความรู้สึกกินใจ
“สิ่งที่พวกเจ้าทำในวันนี้ ย้อนสนองตอบพวกเจ้าแน่นอน” “คำสาปแช่งเป็นคำพูดสุดท้ายแห่งชีวิตของอดีตฮองเฮา ลมหายใจขาดไปแล้ว แต่ดวงตาทั้งสองยังคงเบิกโพลงนัยน์ตายังคงจ้องมองมายังชอนซู ยิ่งทอประกายเจิดจ้ากว่าเมื่อครั้งยังหายใจเสียอีก ฝนเหงื่อห่าใหญ่ไหลพรมลงร่างของชอนซู รู้สำนึกได้ชัดเจนว่าขนลุกซู่ทั่วร่างตน” (แดจังกึม /หน้า30 /เล่ม1)
ความตอนนี้ให้แง่คิดถึง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักแห่งพุทธศาสนา เป็นการกล่าวคำผูกพยาบาทอาฆาต สิ้นชีพแล้วตาไม่หลับหมายถึงยังมีสิ่งที่ต้องกังวล แม้ชอนซูจะกระทำการตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่ว่าเป็นการยากที่จะแยกความรู้สึกหวาดกลัววิบากกรรม
“แมลงปอที่เกาะบนไหซีอิ๊วหน้าระเบียงด้านนอกประตูพลันลอยตัวบินขึ้น แสดงอาทิตย์สาดส่องดูสดใสแต่เช้า ดูจากอากาศที่อบอุ่น ฤดูใบไม้ผลิคงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว” (แดจังกึม/หน้า36 /เล่ม1)
ภาษาที่ใช้คือสุนทรียพจน์ชักนำให้เกิดสุนทรียภาพในใจผู้อ่านตามไปด้วย นึกเห็นภาพไหซีอี๊วและแมลงปอบิน แสงอาทิตย์อ่อนยามเช้าสาดส่อง แสดงถึงช่วงแห่งชีวิตที่มีความสุข
“นางวังฮันสาวเท้าจากไปโดยเร็ว ส่วนนางวังปาร์คยืนนิ่งอยู่ ขณะใช้สายตามองส่งนางจากไปหวนคิดไปวันเวลาที่อยู่รวมกับนางวังฮันนั้น ช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ หากมิมีนางแล้ว ตนคงมิอาจทนต่อความยากลำบากและความเดียวดายของชีวิตในวังหลวงแห่งนี้ได้” (แดจังกึม /หน้า50 /เล่ม1)
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม คนจึงต้องการเพื่อนผู้รู้ใจ ต้องมีความหวัง หากไร้เพื่อน ไร้ความหวัง ชีวิตของคนคงไร้ความหมาย น่าเสียดายว่า คนเราเวลาอยู่ด้วยกัน ไม่ทราบว่าใกล้มากเกินหรือไร จึงมักทะเลาะขัดแย้งกันเองเสมอ เวลาที่ผ่านไปเร็ว คือช่วงเวลาแห่งความสุข
“ในหมู่บ้านมีคนอยู่อาศัย โบราณกล่าวไว้ หากมีนกฮูกร้องขึ้น นับเป็นลางรายว่าบ้านนั้นต้องมีคนตาย เสียงร้องของนกที่กินแม่ของตนเองดังกังวาน เสียงแทงโสตประสาทยิ่งนัก” (แดจังกึม /หน้า 57/เล่ม1)
ความเชื่อเรื่องนกฮูกนกแสกเกาะหรือร้องที่หลังคาบ้านใด บ้านนั้นจักมีคนตาย เป็นความเชื่อที่เหมือนกับความเชื่อของไทยเรา เป็นอีกครั้งที่ผู้เขียนใช้ภาษาสัญลักษณ์บรรยายความตายให้ผู้อ่านคล้อยอารมณ์ตาม
“ดวงตาอันหมองเศร้าเหม่อมองไปบนท้องฟ้าไกลสายตาที่แดงฉานของนางวังปาร์คกำลังอธิบายทั้งหมื่นถ้อยร้อยคำแทนผู้เป็นนาย ขณะที่นางวังฮันกำลังราดเทพูจาทัง” (แดจังกึม/ หน้า81 /เล่ม 1)
ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ คำกล่าวนี้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องตอนนี้จริง ๆ เพื่อนรักกำลังกรอกยาพิษใส่ปากเพื่อนรัก แม้ว่าจะทำให้ยาพิษลดความร้ายแรงลงแล้วแต่ยังเป็นยาพิษ จึงเป็นความคับแค้นของเพื่อนแท้ทั้งสองคน
“ถึงยามดึกค่ำคืนนั้นสองสามีภรรยากลับมิได้ดับแสงคบไต้ลง เมียงอีกำลังประคบยาลงบนน่องอูมแตกลายงาของจังกึมที่นอนหลับอยู่ ไม่ทราบการถูกเฆี่ยนเป็นกิจวัตรของประจำวันหรือไร รอยไม้เรียวบ้างลึกบ้างตื้นจนดูน่าเวทนา” (แดจังกึม /หน้า100/เล่ม1)
เมียงอีผู้เป็นแม่ตีลูกเพราะต้องการสั่งสอน ตีแล้วก็สงสารหายามาทารักษา ตรงตามภาษิตไทยที่กล่าวไว้ว่า “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” แต่ว่าเมืองไทยปัจจุบันอาจมีพ่อแม่รุ่นใหม่จำนวนน้อยที่จะรู้และเข้าใจ
“เมื่อได้ยินว่าแพกจองไม่อาจเรียนหนังสือ จิตใจน้อย ๆ ต้องเจ็บปวดถึงเพียงใด” “เป็นกังวลก็แต่ ความหวังกลับกลายเป็นความผิดหวัง” (แดจังกึม /หน้า 101/เล่ม1)
นิยายอิงประวัติศาสตร์เกาหลีเรื่องนี้ชี้ชัดว่า จังกึมมีนิสัยติดตัว (บุพกรรม) ในด้านรักการศึกษาหาความรู้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือนิยาย ผู้ใดรักความรู้เช่นเดียวกับจังกึม ย่อมประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนจังกึมทุกคน ส่วนความหวังกลับกลายเป็นความผิดหวัง เป็นความรู้สึกที่รุนแรงอาจผลิกผันชีวิตคนได้
“แต่ย่อมมิใช่ต่อจังกึม สำหรับความหวังเด็กน้อยคนนี้ ต่อให้ตัดกิ่งใบออกเช่นไร ก็ย่อมงอกเงยใหม่ได้ตลอดเวลาตราบที่ยังมีรากอยู่ในดิน ตราบที่มีลำต้นอยู่ในอากาศ ย่อมมิมีสิ่งใดหยุดยังการเจริญงอกงามได้” (แดจังกึม /หน้า103 /เล่ม1)
เนื้อความนี้ยังบอกย้ำถึงนิสัยอันถาวรของจังกึมที่รักการศึกษา เปรียบเทียบชีวิตของจังกึม เมื่อยังมีชีวิตย่อมศึกษาโดยไม่หยุด เหมือนต้นไม้ที่ยังไม่ตายย่อมเติบโตต่อไปอย่างไม่หยุด
“เมื่อชเวพันซุลและสมุนปิดประตูกลับออกไป ความมืดมิดกลับเข้ามาอีกครั้ง...ค่ำคืนเมื่อ 8 ปีก่อนยังคงชัดเจนในหัวสมอง มิผิดที่มีโบราณกล่าวไว้ว่า ท่ามกลางความมืดย่อมเห็นเพียงสิ่งที่มืดกว่าเท่านั้น” (แดจังกึม /หน้า134 /เล่ม1)
ความมืดยามค่ำคืนภายในห้องที่ประตูปิดสนิท เปรียบเทียบกับชีวิตของชเวพันซุลในช่วงแห่งความทุกข์ยุ่งยาก การได้เห็นคนที่ตัวเองได้พยายามฆ่าเมื่อ 8 ปีก่อน เท่ากับการได้รับความทุกข์ยากเพิ่มขึ้นเหมือนสุภาษิตไทยว่า “ผีซ้ำด้ำพลอย” (ด้ำหมายถึงผีบ้านผีเรือนชนิดหนึ่ง)
“...แม้ตื่นเช้าอาจมิมีชีวิตหลงเหลือยู่ แต่ก็เป็นทึกคืนที่หลับอย่างเป็นสุข จงอย่าเศร้าใจ ภพหน้าต่อให้อยู่ร่วมกันได้เพียงวันเดียว ก็จะเลือกท่านพี่ตลอดไป” (แดจังกึม /หน้า140/เล่ม1)
คำกล่าวนี้บ่งบอกถึงดวงใจที่เด็ดเดี่ยวของปาร์คเมียงอี ในครั้งที่ถูกทางการจับได้พร้อมกับสามี แม้รู้ว่าจักต้องรับโทษถึงชีวิตทั้งคู่เป็นแน่ แต่กลับสามารถตัดความกลัวตาย และมีจิตยินดีกับความสุขด้วยเวลาเพียงคืนเดียวที่ได้อยู่ร่วมกับสามี ผมนึกถึงบทกวีที่ได้จากการอ่านนิยายเรื่องเพชรพระอุมาตอนหนึ่งว่า “เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์ แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา”