กระบวนการจัดทำ
1. ศึกษาค้นคว้าเนื้อหาเรื่องร่างกายของเรา เกี่ยวกับอวัยวะต่างๆภายนอกร่างกาย
2. ศึกษาขั้นตอนวิธีการทำบทเรียนสำเร็จรูปและวิเคราะห์การนำบทเรียนสำเร็จรูปมาใช้ในการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์
3. ขอคำแนะนำในการทำบทเรียนสำเร็จรูปจากผู้เชี่ยวชาญ
4. วางแผนการทำงาน
4.1 กำหนดวัตถุประสงค์
4.2 จัดทำแบบทดสอบก่อนเรียน
4.3 กำหนดเนื้อหาในเล่มจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ ส่วนที่ 1 ร่างกายของเราประกอบด้วย อวัยวะต่างๆภายนอกร่างกายอะไรบ้าง ส่วนที่ 2 อวัยวะแต่ละอย่างทำหน้าที่อย่างไร และส่วนที่ 3 การดูแลรักษาอวัยวะให้ถูกต้อง
4.5 ตั้งคำถามสั้นๆในเนื้อหา เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้คิด แล้วมีการเฉลยในหน้าถัดไป
4.6 จัดทำกิจกรรมระหว่างเนื้อหา โดยให้ผู้เรียนได้ทำแบบทดสอบด้วยตนเอง และกิจกรรมงานกลุ่ม
4.7 จัดทำแบบทดสอบหลังเรียน พร้อมคำเฉลยท้ายเล่ม
5. รวบรวมข้อมูล และพิมพ์เนื้อหาต่างๆ
6. ทดลองทำ แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
7. แก้ไขและปรับปรุงข้อบกพร่อง จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ
8. ลงมือทำสื่อการเรียน บทเรียนสำเร็จรูป
9. นำบทเรียนสำเร็จรูปไปทดลองใช้กับเด็กนักเรียน 3 คน
การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน
1. การนำผลจากผู้เชี่ยวชาญไปปรับปรุง/แก้ไขสื่อนวัตกรรมการศึกษา
1.1 ระบุชื่อเรื่อง ว่าใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
1.2 รูปเล่มข้างในของบทเรียนสำเร็จรูป เน้นสีสัน และใส่รูปภาพการ์ตูนสำหรับเด็กประถมศึกษาเพื่อความน่าสนใจ
1.3 ไม่เน้นเนื้อหามากในรูปเล่มบทเรียนสำเร็จรูป แต่เน้นรูปภาพมากกว่าเพราะรูปภาพจะเป็นสื่อที่ทำให้นักเรียนเข้าใจได้ง่าย สำหรับเด็กประถมศึกษา
1.4 เนื้อหาในเล่มปรับให้มีขนาดตัวหนังสือขนาดใหญ่พอที่เด็กสามารถอ่านได้สะดวก
2. ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ที่เกิดขึ้น
การตรวจสอบประเมินประสิทธิภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านโดยกำหนดระดับความพึงพอใจ 5 ระดับ คือ ดีมาก = 5 , ดี = 4 , ปานกลาง = 3 , น้อย = 2 และน้อยที่สุด = 1 และคะแนนเต็มเท่ากับ 75 คะแนน
ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 1 ให้คะแนน 57 คะแนน
ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 2 ให้คะแนน 57 คะแนน
ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 3 ให้คะแนน 60 คะแนน
นำคะแนนที่ได้ มาทำแบบวัดดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนเป็น -1, 0 และ +1 และเมื่อนำมาเทียบกับคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญข้างบน จะได้
เกณฑ์ -1 คะแนนอยู่ในช่วง 0 - 25 คะแนน
เกณฑ์ 0 คะแนนอยู่ในช่วง 26 - 50 คะแนน
เกณฑ์ +1 คะแนนอยู่ในช่วง 51 –75 คะแนน
การกำหนดคะแนนของผู้เชี่ยวชาญ
+1 หมายถึง แน่ใจว่าถูกต้อง/สอดคล้อง/ตรงวัตถุประสงค์
0 หมายถึง ไม่แน่ใจ
-1 หมายถึง แน่ใจว่ายังไม่ถูกต้อง/ไม่สอดคล้อง/ไม่ตรงจุดประสงค์
ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป
สรุป จากผลการประเมินประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอน บทเรียนสำเร็จรูปจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน เกณฑ์อยู่ในระดับ +1 คือ ผู้เชี่ยวชาญแน่ใจว่าถูกต้อง สอดคล้อง และตรงตามวัตถุประสงค์
สูตรการคำนวณ
IOC = Σ R/N
IOC คือ ดัชนีความสอดคล้อง
R คือ คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ
Σ R คือ ผลรวมคะแนนของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน
N คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
การแทนค่าในสูตร
IOC = 1+1+1 / 3
= 1
สรุป การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของสื่อบทเรียนสำเร็จรูปจากผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เท่ากับ 1
การทดลองใช้แบบ 1 : 1 กับนักเรียนจำนวน 3 คน
1. การนำผลจากการทดลองใช้ไปปรับปรุง/แก้ไขสื่อนวัตกรรมการศึกษา
1.1 เมี่อนำบทเรียนสำเร็จรูปไปทดลองใช้กับเด็กนักเรียน 3 คน พบว่าเด็กยังอ่านหนังสือไม่ค่อยได้ และใช้เวลาในการศึกษาค่อนข้างนาน การแก้ปัญหาคือ ผู้สอนควรให้คำแนะนำและดูแลช่วยเหลือนักเรียนในการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปอย่างใกล้ชิด
1.2 นักเรียนยังไม่รู้จักคำศัพท์บางคำในบทเรียน ที่เป็นศัพท์ยาก ดังนั้นผู้สอนควรให้คำแนะนำ ช่วยเหลือนักเรียนอย่างใกล้ชิด
1.3 นักเรียนยังไม่เข้าใจคำสั่งในการทำกิจกรรมหรือแบบฝึกหัด ผู้สอนควรชี้แจงให้ละเอียด ให้นักเรียนเข้าใจ
2. ค่าเกณฑ์ประสิทธิภาพของสื่อนวัตกรรมการศึกษา (E1/E2)
การนำสื่อบทเรียนสำเร็จรูปไปทดลองใช้กับนักเรียน จำนวน 3 คน โดยมีการให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน และเมื่อนักเรียนศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปแล้ว ก็จะมีการให้ทำแบบทดสอบหลังเรียน ผลคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบของนักเรียนทั้ง 3 คน ดังนี้
นักเรียน |
แบบทดสอบก่อนเรียน |
แบบทดสอบหลังเรียน |
คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 |
30 30 30 |
29 25 29 |
คะแนนเฉลี่ย |
30 |
27.67 |
คะแนนเต็ม |
30 |
30 |
นำผลคะแนนทำแบบทดสอบก่อนเรียนมาหาค่า E1 และนำผลคะแนนทำแบบทดสอบหลังเรียนมาหาค่า E2 (โดยค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้สำหรับเนื้อหาที่เป็นความรู้ความจำ E1/E2 คือ 80/80 และเนื้อหาที่เป็นปฏิบัติ E1/E2 คือ 70/70 ขึ้นไป )
สูตรการคำนวณ
E1 = (Σ X/ N )/A × 100
E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ
ΣX คือ ผลรวมของคะแนนนักเรียนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียน
A คือ คะแนนเต็มของแบบวัด
N คือ จำนวนนักเรียน
การแทนค่าในสูตร
E1 = (30/30) × 100
= 100
สรุป การหาประสิทธิภาพของกระบวนการ เท่ากับ 100
สูตรการคำนวณ
E2 = (Σ Y/ N )/B × 100
E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้จากคะแนนเฉลี่ยของการทำ
แบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนทั้งหมด
ΣY คือ คะแนนรวมของผลลัพธ์หลังเรียน
B คือ คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน
N คือ จำนวนนักเรียน
การแทนค่าในสูตร
E2 = (27.67/30) × 100
= 92.23
สรุป ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้จากคะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนทั้งหมด เท่ากับ 90.23
ดังนั้นแทนค่า
(E1/E2) = 100/92.23
= 1.08
สรุป ค่าเกณฑ์ประสิทธิภาพของสื่อนวัตกรรมการศึกษา เท่ากับ 1.08 ซึ่งมีค่ามากกว่า 0.50 จึงสรุปได้ว่า บทเรียนสำเร็จรูปได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้จริง
บทสรุป
การประเมินประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอน บทเรียนสำเร็จรูปจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน เกณฑ์อยู่ในระดับ +1 คือ ผู้เชี่ยวชาญแน่ใจว่าถูกต้อง สอดคล้อง และตรงตามวัตถุประสงค์และนำเกณฑ์ที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของบทเรียนสำเร็จรูป มีค่าเท่ากับ 1 ซึ่งมีค่ามากกว่า 0.50 จึงสรุปได้ว่า สื่อนวัตกรรมการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
การนำสื่อบทเรียนสำเร็จรูปไปทดลองใช้กับนักเรียน จำนวน 3 คน ได้ค่าเกณฑ์ประสิทธิภาพของสื่อนวัตกรรมการศึกษา เท่ากับ 1.08 ซึ่งมีค่ามากกว่า 0.50 จึงสรุปได้ว่า บทเรียนสำเร็จรูปได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้จริง
ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาในอนาคต
จากการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปของนักเรียน 3 คน พบว่าเด็กยังอ่านหนังสือไม่ค่อยคล่อง จึงใช้เวลาในการศึกษาค่อนข้างนาน และคำศัพท์บางคำที่ไม่ได้ใช้บ่อยหรือเป็นคำศัพท์ใหม่เด็กจะไม่เข้าใจความหมาย ครูผู้สอนควรให้คำปรึกษาและแนะนำอย่างใกล้ชิดและมีการอ่านเนื้อหาให้ฟังเป็นบางตอน
บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องร่างกายของเรา จะเป็นการศึกษาเฉพาะอวัยวะของร่างกายที่อยู่ภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานในการเรียนของเด็ก สำหรับการพัฒนาในอนาคตจะมีการทำบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องร่างกายของเรา ซึ่งจะเป็นการศึกษาอวัยวะต่างๆที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น การศึกษาระบบการย่อยอาหารของร่างกาย อวัยวะที่อยู่ภายในร่างกายประกอบด้วยอะไรบ้าง เป็นต้น และบทเรียนสำเร็จรูปเล่มนี้จะนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการศึกษาค้นคว้าต่อไปได้
ไม่มีความเห็น