ลวงตา ลวงใจ เรื่องโดย พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ


สิ่งที่เราเชื่อหลายอย่างก็ไม่ใช่ความจริง ขณะที่มีความจริงอีกหลายอย่างที่เราไม่เชื่อ

ลวงตา ลวงใจ เรื่องโดย พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ

     สิ่งที่เราเห็นหลายอย่างไม่ใช่ความจริง ขณะที่มีความจริงอีกหลายอย่างที่เราไม่เห็น

     สิ่งที่เราเชื่อหลายอย่างก็ไม่ใช่ความจริง ขณะที่มีความจริงอีกหลายอย่างที่เราไม่เชื่อ

     ชีวิตของเราจึงอยู่กับสิ่งที่ลวงตา ลวงใจ

     เราเห็นแสงแดดสีใสหรือโปร่งสี ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงแสงแดดมี 7 สี มี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เราจะเห็นความเป็นจริงดังกล่าว ก็ต่อเมื่อเกิดรุ้งกินน้ำหรือพระอาทิตย์ทรงกลด

     คืนขึ้น 15 ค่ำเราเห็นแสงจันทร์นวลผ่อง เราต่างก็ชอบดูพระจันทร์เต็มดวง ความงามของแสงจันทร์ที่เราเห็นไม่ใช่ของจริง เพราะดวงจันทร์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ที่เราเห็นนั้นคือแสงอาทิตย์สะท้อนจากดวงจันทร์

     เราไม่เห็นเชื้อโรคในอากาศ ทั้งๆที่ในอากาศมีเชื้อโรค ที่เรามองไม่เห็นก็เพราะเชื้อโรคมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะเห็น

     เรามองไม่เห็นขนตา ขอบตา ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ตาเราที่สุด ทั้งนี้เพราะสิ่งดังกล่าวตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เอื้อให้เราเห็น

     ภพภูมิอันเป็นถิ่นที่เกิดของสัตว์โลกมีอยู่ถึง 31 ภพภูมิ แต่เรากลับได้เห็นได้สัมผัสเพียง 2 ภพภูมิ คือ มนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานเทวดามีอยู่ 6 ชั้น พรหมมีถึง 20 ชั้น อยู่สูงและไกลเกินกว่าที่เราจะมองเห็น เช่นเดียวกับนรก เปรต อสุรกาย ที่อยู่ในภพภูมิเดียวกันกับสัตว์เดรัจฉาน (จัดอยู่อบายภูมิ) แต่ที่อยู่และรูปกายของเขาไม่เอื้อให้เรามองเห็น

     สิ่งที่เราไม่เห็น มิใช่ว่าจะไม่มี แม้สิ่งที่มีอยู่แนบชิด เราก็ยังมองไม่เห็น

     นอกจากจะมีสิ่งลวงตาแล้ว ยังมีสิ่งลวงใจ ทำให้เราเชื่อในสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงด้วย เป็นต้นว่า

     เราไม่เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เช่น ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อว่าการเกิดเป็นทุกข์ แต่เราสามารถหลุดพ้นจากวงจรของการเกิดได้ ไม่เชื่อเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น

     แต่เรากลับไปเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ เช่น ไปเชื่อว่าพระเจ้าหรือพระพรหมเป็นผู้ลิขิตชีวิตเรา ไปเชื่อเรื่องการบนบานศาลกล่าว ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ไปเชื่อเรื่องโชคชะตาราศี ทำให้ชอบเสี่ยงโชคหรือเล่นการพนัน นอกจากนี้ยังชอบดูหมอ ไปเชื่อเรื่องการสะเดาะเคราะห์เพื่อแก้กรรม เชื่อเรื่องการเปลี่ยนชื่อ เชื่อเรื่องฮวงจุ้ย ว่าจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นความเชื่อที่นอกพระพุทธศาสนา เป็นมิจฉาทิฐิไม่ใช่ทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

     สิ่งลวงใจซึ่งปิดบังปัญญาไม่ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงที่สำคัญก็คือ เราคิดว่าสมบัติวัตถุที่เราครอบครองอยู่เป็นของของเรา เช่นที่ดินของเรา บ้านของเรา รถของเรา เครื่องใช้ไม้สอย ตลอดจนเครื่องแต่งตัวต่าง ๆเป็นของเราเป็นต้น

     ที่เราเชื่อเช่นนี้เพราะเชื่อตามสมมุติของโลก โดยสังคมของมนุษย์ตั้งเป็นกฎกติการ่วมกันว่าหากใครได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมาถูกต้องตามกฎหมาย ผู้นั้นย่อมได้สิทธิ์เป็นเจ้าของสิ่งนั้น เพื่อป้องกันมิให้มีการละเมิดในทรัพย์สิน

     สมมุติบัญญัติของชาวโลกดังกล่าว เราจำเป็นต้องยอมรับและปฏิบัติตามในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แต่เราต้องรู้ความเป็นจริงทางธรรมว่า วัตถุทั้งหลายล้วนเป็นสมบัติของโลก เพราะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในโลก เป็นต้นว่า ที่ดินเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อคนหรือสัตว์เข้าไปอาศัยอยู่หรือครอบครอง ก็ตู่ว่าเป็นของของตน ที่ดินแต่ละผืนเปลี่ยนมือผู้ครอบครองมานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะเมื่อตายไป ไม่มีใครเอาที่ดินแต่ละแปลงติดตัวไปได้เลย

     สมบัติวัตถุอื่นๆ ก็เช่นกัน เกิดจากการเอาทรัพยากรธรรมชาติของโลกมาแปรรูป สร้างเป็นอาคารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้สอยสิ่งเหล่านี้เป็นของผู้ครอบครองโดยสมมุติของชาวโลก แต่ในทางธรรมไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เพราะต่างก็ยืมสมบัติของโลกมาใช้กันชั่วคราว เมื่อสิ่งเหล่านี้ผุพังหรือเปลี่ยนมือผู้ถือครอง ก็ยังอยู่ในโลกต่อไป

     พระพุทธองค์ทรงสรุปว่า ความทุกข์ของชาวโลก เกิดจากความเห็นผิด คิดว่าชีวิตนี้เป็นตัวตน เป็นของตน จึงมีสิ่งต่างๆ ที่หลงว่าเป็นของของตนพ่วงมาอีกมากมาย

     ตัวอย่างอันเกิดทุกข์เพราะความเห็นผิดก็คือ มีคนเจ็บป่วยและตายอยู่มากมายทุกนาที เราไม่เห็นทุกข์ แต่ถ้าคนเหล่านั้นเป็นตัวเราหรือคนของเรา ความทุกข์จะเกิดขึ้นกับเราทันที บ้านคนอื่นถูกไฟไหม้ รถคนอื่นถูกชน ลูกคนอื่นเสเพล เราไม่ทุกข์ แต่ถ้าเป็นบ้านของเรารถของเรา ลูกของเรา จะกดดันใจเราให้ทุกข์ทันที

     โดยความเป็นจริงแล้ว ชีวิตที่เราเป็นของเรานั้น มีร่างกายกับจิตใจร่างกาย เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ของพ่อแม่ เท่ากับว่าพ่อแม่ทำให้ร่างกายเวียนเกิด เพราะยังไม่หมดตัณหา จิตดวงนี้จึงไม่เป็นของใคร มีอยู่ตามเหตุปัจจัย เมื่อเข้ามาอาศัยอยู่ในกายจึงเกิดเป็นคนขึ้นมา ชาวโลกสมมุติกันว่าเป็นลูกของพ่อแม่ เป็นคนชื่อนั้นชื่อนี้ และคนชื่อนั้นชื่อนี่เป็นเจ้าของชีวิตหรือเป็น “ตัวกู ของกู”

     ในทางธรรมไม่มีตัวใคร ไม่มีของใคร มีแต่ร่างกาย (รูป) กับจิตใจ (นาม) ที่มารวมตัวกันเข้าตามเหตุปัจจัย หมดเหตุปัจจัยก็แยกจากกัน นั่นคือร่างกายตายไป จิตใจจะไปเกิดใหม่ในภพภูมิต่างๆ เป็นเช่นนี้จนกว่าจะหมดตัณหา

     เมื่อไม่มีตัวเรา ของของเราจึงไม่มี ความทุกข์จากความยึดมั่นในความเป็นตัวเราและของของเราก็พลอยหมดไปด้วย นี่เป็นสภาวะจิตของพระอรหันต์ที่หมดทุกข์ใจ ส่วนร่างกายท่านอาจจะเจ็บป่วยเป็นทุกข์แต่ท่านไม่เอามาใส่ใจ

     ในฐานะที่เป็นปุถุชน ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ เราควรจะใช้ชีวิตอย่างไร

     หน้าที่ที่เราจะต้องรับผิดชอบต่อตนเองคือ เลี้ยงดูกายและพัฒนาใจโดยฝึกปฏิบัติสมถวิปัสสนากรรมฐาน ให้ใจรู้เห็นความเป็นจริงทางธรรม จนยอมรับความเป็นจริงดังกล่าว เพื่อถอดถอนความยึดมั่นสำคัญผิดที่ยึดติดอยู่
สิ่งที่เรายึดติดกันเหนียวแน่นมีอยู่ 3 อย่าง คือ สมบัติวัตถุ 1 บุคคลในครอบครัวอันเป็นที่รักหรือผู้ที่เราสัมพันธ์ด้วย 1 และตัวเรา 1 ทั้งสามอย่างนี้สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการละตัวเรา รองลงมาก็คือบุคคลอันเป็นที่รักของเรา ที่ค่อนข้างง่ายคือสมบัติวัตถุที่เราครอบครองอยู่

     เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงควรฝึกปล่อยวางสมบัติวัตถุก่อน ทำใจเมื่อสิ่งนั้นเสียหายหรือพลัดพรากจากไปโดยไม่ทุกข์ใจ ส่วนบุคคลอันเป็นที่รักและตัวเราแม้ยังทำใจไม่ได้ แต่ให้มีสติ ไม่ถึงกับคร่ำครวญหวนไห้จนขาดสติ หรืออาลัยอาวรณ์เก็บทุกข์มาขังไว้ในใจ เมื่อบุคคลดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ปรารถนาหรือพลัดพรากจากไป

     อนึ่ง การละความยึดมั่นนั้น เป็นการละทางใจ แต่หน้าที่ที่มีอยู่ จะต้องทำตามพันธกรณี ละไม่ได้ ต้องทำให้ดี

     เมื่อเข้าใจความเป็นจริงเช่นนี้ ก็อย่าให้สิ่งที่ลวงตามาลวงใจเราอีกเลย

ขอขอบคุณ ชมรมกัลยาณธรรม

คำสำคัญ (Tags): #http:www.kanlayanatam.comsarasara196.htm
หมายเลขบันทึก: 362045เขียนเมื่อ 28 พฤษภาคม 2010 13:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 สิงหาคม 2013 14:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงควรฝึกปล่อยวางสมบัติวัตถุก่อน ทำใจเมื่อสิ่งนั้นเสียหายหรือพลัดพรากจากไปโดยไม่ทุกข์ใจ ส่วนบุคคลอันเป็นที่รักและตัวเราแม้ยังทำใจไม่ได้ แต่ให้มีสติ ไม่ถึงกับคร่ำครวญหวนไห้จนขาดสติ หรืออาลัยอาวรณ์เก็บทุกข์มาขังไว้ในใจ เมื่อบุคคลดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ปรารถนาหรือพลัดพรากจากไป

ขอขอบคุณบันทึกดีๆในวันวิสาขบูชานี้

-ขอบคุณ ท้องฟ้า ที่แวะมาอ่านธรรมะเผยแผ่

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท