การพัฒนาการอ่านแบบมีส่วนร่วม
การอ่านเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาหาความรู้ และพัฒนาชีวิต ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความรู้แล้วยังก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้แนวคิดในการดำเนินชีวิต การอ่านจึงเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้เรื่องต่างๆ
การพัฒนาบุคคลใดก็ตามให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ต้องเริ่มจากการพัฒนาตนเองก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อตนเองพร้อมที่จะเรียนรู้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีสิ่งใดมากีดขวางความพยายามใฝ่เรียนรู้ เปรียบได้เช่นกับการอ่านหนังสือ ถ้าเราอ่านมากเราก็รู้มาก เราได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เป็นการพัฒนาศักยภาพตนเองอย่างต่อเนื่อง เพราะการอ่านนั้นไซร้ให้ประโยชน์กับเรานานัปการ อีกทั้งถ้าได้อ่านแล้วมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ประโยชน์ทีเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อมา คือบุคคลนั้นสามารถนำความรู้นั้นไปพัฒนาผู้อื่นได้อีกด้วย แต่การอ่านที่ดีนั้นจะต้องวิเคราะห์เนื้อหาให้ลึกซึ้งก่อน เพื่อทบทวนสิ่งที่ได้อ่านให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม ดังนั้นผู้เขียนได้ศึกษารูปแบบการพัฒนาการอ่านแบบมีส่วนร่วม เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาความสามารถในการอ่านให้ทุกคนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมต้องอ่านแบบมีส่วนร่วม ?
จากลักษณะสำคัญและความเป็นมาที่น่าสนใจของรูปแบบการพัฒนาการอ่านแบบมีส่วนร่วม ทำให้ผู้เขียนมองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการอ่านด้วยวิธีนี้ อันได้แก่ การสร้างแรงจูงใจในการอ่านและคิดไตร่ตรองในเรื่องที่จะอ่าน ทำให้ผู้อ่านนั้นกระตือรือร้น มีความสนใจและรู้สึกสนุกกับการอ่านก่อน แล้วจึงเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาที่จะอ่าน ผู้เขียนได้ศึกษาทำความเข้าใจถึงวิธีการอ่านทำให้เห็นแนวทางในการพัฒนาตนเองเป็นสำคัญ รองลงมาคือบริบทของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน โดยอาศัยตัวผู้เรียนเป็นหลักในการทำกิจกรรม ส่วนผู้สอนเป็นที่ปรึกษาและจัดเตรียมเนื้อหาในการอ่านเพื่อให้ชัดเจนตรงตามจุดมุ่งหมาย อีกทั้งต้องมีความสอดคล้องตรงกับความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เขียนได้ศึกษารูปแบบการพัฒนาการอ่านแบบมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง เนื่องจากความสำคัญของการอ่านนั้นมุ่งให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพ เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ที่ดีนั้นก็ต้องควบคู่กับการอ่าน เมื่อได้ศึกษาค้นคว้าในสิ่งที่ตนถนัด สนใจแล้วนั้น จะทำให้บุคคลนั้นเกิดการเรียนรู้ได้ดี และจากหลักฐานงานวิชาการของนักการศึกษาชาวอเมริกาก็ได้ชี้ให้เห็นว่า การส่งเสริมการอ่านนั้น จะทำให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนทัศนะในการอ่านได้ดี เมื่อได้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสิ่งที่ตนอ่าน เพราะจะทำให้ผู้เรียนรู้สึกท้าทายเมื่อได้สนทนากับเพื่อนในเรื่องเดียวกันแต่มีมุมมองที่แตกต่างกัน ส่งเสริมให้ตนเองอยากรู้และอยากอ่านมากขึ้นอีกด้วย
Guthrie นักการศึกษาชาวอเมริกาจากมหาวิทยาลัย แมรี่แลนด์ ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลในเรื่องของการอ่านแบบมีส่วนร่วมโดยเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้อ่านสิ่งที่ตนสนใจและนำมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนและครูอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการพัฒนาการอ่านของผู้เรียนให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเพื่อให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยใช้วิธีการสอนอ่านแบบมีส่วนร่วม เนื่องจากมีความเหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน โดยวิธีการเชื่อมโยงความรู้เดิมหรือประสบการณ์ที่มีอยู่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีการเสริมแรงจูงใจในการอ่านโดยใช้คำสำคัญในการสื่อความหมายให้เห็นเด่นชัด เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพทางด้านการอ่านในมุมมองที่แตกต่างกันออกไปดังที่แสดงให้เห็น ดังนี้
รูปแบบการพัฒนาการอ่านแบบมีส่วนร่วม
Interesting text
|
Autonomy support |
Real world Instruction |
Learning and knowledge Goals |
Evaluation |
Rewards and praise |
Teacher involvement
|
Achievement knowledge practices |
Collaboration |
Social interactions |
Motivations |
ConceptualKnowledge |
Strategy Use |
The engagement model of reading development
Strategy instruction
|
Autonomy support |
Real world Instruction |
Learning and knowledge Goals |
Evaluation |
Rewards and praise |
Teacher involvement
|
Achievement knowledge practices |
Collaboration |
Social interactions |
Motivations |
ConceptualKnowledge |
Strategy Use |
ที่มา : www.readingonline.org/articles/handbook/guthrie/index.html
หลักการส่งเสริมการอ่านแบบมีส่วนร่วม
การสอนโดยรูปแบบการพัฒนาการอ่านแบบมีส่วนร่วมนั้น ผู้เขียนได้มองภาพรวมถึงคุณประโยชน์ที่จะนำไปสู่ผู้เรียน โดยมีหลักการส่งเสริมความสามารถในการอ่านได้อย่างมีจุดหมายและสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีในการอ่าน รวมทั้งเสริมศักยภาพในด้านการอ่านให้เป็นไปตามความถนัดและสนใจในเนื้อหาที่ผู้เรียนเลือกเอง เกิดการปรับเปลี่ยนทัศนะในการอ่านและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ดังนี้
1. การกำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ (Learning and knowledge goals) โดยครูและ
นักเรียนกำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้ตรงตามจุดประสงค์ เริ่มจากการใช้คำถาม การสนทนา ประเด็นสำคัญหลักในการอ่าน เป็นการเตรียมความพร้อมของผู้เรียน
2. การจัดประสบการณ์และเลือกเนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง (Real-world interaction)
โดยการเลือกเนื้อหาที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้เรียน นั้นเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น เนื่องจากได้เรียนรู้สิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัวก่อน แล้วค่อยปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆต่อไป
3. การสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการอยากร่วมเรียนรู้ด้วยตนเอง (Autonomy & Support)
โดยให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจที่จะอ่านเนื้อหานั้นๆ ครูชี้แนะเกี่ยวกับการเลือกเนื้อหาในการอ่านที่เหมาะสม และวิธีการอ่านที่เหมาะสมส่งเสริมทักษะการอ่านให้ง่ายต่อความเข้าใจ
4. การเลือกเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของผู้เรียน (Interesting texts for instruction)
โดยเลือกเนื้อหาที่ใหม่ น่าสนใจมีคุณค่าและความสำคัญสอดคล้องกับผู้เรียนให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ จากการแลกเปลี่ยนเนื้อหาที่น่าสนใจระหว่างผู้เรียนและการหาข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
5. การใช้ยุทธศาสตร์การสอนที่เหมาะสม (Strategy instruction) โดยเลือกวิธีการสอนอ่าน
ที่หลากหลายตรงตามเป้าหมายการเรียนรู้ วัตถุประสงค์ที่อ่าน บอกเป็นขั้นตอนชัดเจน และนำมาจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน เสริมสร้างความรู้และทักษะการอ่าน ได้ความรู้ที่ต้องการและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
6. การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการเรียนรู้ (Collaboration) โดยให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้า
การอ่านจากบริบทที่มีอยู่ทั้งในและนอกห้องเรียน เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพทางด้านการอ่านในมุมมองที่แตกต่างกัน
7. การมีส่วนร่วมของครูในการสร้างกระบวนการเรียนรู้แก่ผู้เรียน (Teacher- involvement)
ครูจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นใกล้ชิด และมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อผู้เรียนทำให้การสอนได้ผลดียิ่งขึ้นส่งผลโดยตรงต่อจิตใจของผู้เรียน
8. การให้รางวัลและการยกย่อง (Praise and rewards) โดยให้รางวัล และกำลังใจจากการ
ชมเชยอย่างถูกต้องเหมาะสม มีเหตุผล เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ
9. การประเมินผลตามสภาพจริง (Evaluation) โดยการประเมินผลระหว่างการจัดกิจกรรมก่อนและหลังการอ่าน เปรียบเทียบพัฒนาการอ่าน และความสามารถของผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยใช้แฟ้มสะสมผลงานของผู้เรียน
สรุปได้ว่า เมื่อผู้เรียนได้ศึกษารูปแบบการพัฒนาการอ่านแบบมีส่วนร่วม ตามความเหมาะสมในด้านการกำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ ได้ตรงกับศักยภาพของตนเอง ก็จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเมื่อเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมที่มีความสัมพันธ์กับชีวิตจริง ก็จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้นในขณะที่อ่าน เมื่อตนเองได้อ่านอย่างเข้าใจแล้วนั้น ก็ทำให้ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากเพื่อนๆ และครูในการเลือกเนื้อหาที่จะอ่านครั้งต่อไปได้หลากหลายขึ้น โดยครูเป็นที่ปรึกษา จัดกิจกรรมในการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม นำพาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทั้งในและนอกห้องเรียน เข้าใจเรื่องที่อ่านอย่างถ่องแท้แล้วได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน มีความใกล้ชิดและเกิดสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน ได้รับกำลังใจทั้งจากเพื่อนและครูก็ส่งผลทางด้านจิตใจของผู้เรียน ทำให้เห็นคุณค่าของการอ่านแบบมีส่วนร่วม มีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนะต่างๆในมุมมองที่แตกต่างกันออกไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
มาอ่านเรื่องการสอนอ่าน มาเขียนอีกนะครับอาจารย์