เล่นการเมืองบนรถแท้กซี่


ผมคิดว่าสังคมที่ผู้คนเต็มไปด้วยความเคียดแค้นสังคม เกลียดชังคนอื่น เป็นสังคมที่ป่วย เราต้องช่วยกันเยียวยาสังคม ช่วยกันทำให้คนในสังคมมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน มีความรักความเห็นใจกัน

          ช่วงปลายเดือนเมษายน ๒๕๕๓ ผมนั่งรถแท้กซี่จากสนามบินสุวรรณภูมิกลับบ้านบ่อย   จึงมีโอกาสใช้การพูดคุยกับโชเฟอร์ ในการศึกษาหาความรู้ทางสังคม   ว่าคนระดับนี้เขามีอารมณ์ความรู้สึกต่อสภาวการณ์บ้านเมืองอย่างไร 

          ผมพบว่าคนขับรถแท้กซี่มีความคิดทางการเมื่องเรื่องความขัดแย้งตั้งแต่เหลืองจัดไปจนแดงจัด   แต่จำนวนตัวอย่างของการวิจัยส่วนตัวครั้งนี้มีไม่กี่คนนะครับ    จึงต้องถือว่าถือได้เพียงเป็นกรณีตัวอย่าง   ไม่สามารถถือเป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศได้

          โชเฟอร์คนที่แดงจัด ผมสังเกตเห็นความเคียดแค้นสังคมชัดเจนในถ้อยคำและน้ำเสียง   เมื่อเห็นรถทหารเขาก็บอกว่าทหารออกมาฆ่าประชาชน   เขาพยายามบอกว่าต้องยุบสภาและเลือกตั้งใหม่   ต้องเป็นประชาธิปไตยแบบฟังเสียงประชาชนโดยการเลือกตั้ง   ผมอ่านว่า เขาเชื่อว่าหากคนที่เขาและกลุ่มคนเสื้อแดงสนับสนุนเป็นผู้มีอำนาจทางการเมือง ชีวิตของเขาจะดีขึ้น

          โชเฟอร์คนที่เหลืองจัด ฟังข่าวอ่านข่าวมาก   รู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางมากมายอย่างน่าแปลกใจ เขาเป็นคนร้อยเอ็ด   เขาบอกว่าผู้ชุมนุมถูกหลอกมา   แต่เขาก็รู้เรื่องด้านลบของผู้สูงศักดิ์บางคนด้วย   เขาคิดว่าที่ศาลตัดสินคดียึดทรัพย์นั้นถูกต้องแล้ว   เขาเชื่อว่าคุณทักษิณได้ใช้อำนาจสมัยเป็นนายกแสวงหาผมประโยชน์มากกว่าที่โดนศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์

          อีกคนหนึ่งแดงแต่ไม่จัดนัก   ผมสังเกตน้ำเสียงที่แสดงจิตใจที่ไม่มีความสุข มีความเครียดอยู่ในใจ   เขาแสดงความไม่พอใจที่มีผู้โดยสารแสดงท่าทีไม่ไว้วางใจว่าจะปลอดภัยจากคนขับแท้กซี่   ผมตีความว่าเขาคับแค้นใจที่สังคมมองเขาแบบไม่เท่าเทียม  

          ผมพยายามสนทนากับเขาเหมือนญาติ หรือเหมือนคนชั้นเดียวกัน   หากมีโอกาสผมก็จะบอกว่าผมมีพื้นเพเป็นคนต่างจังหวัดและตอนเด็กๆ ครอบครัวมีฐานะไม่ดีนัก   ผมคิดว่าการแสดงความสัมพันธ์อย่างเท่าเทียมกันเป็นจริยธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ ที่จะเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 

          นอกจากเท่าเทียมกันในฐานะความเป็นคนแล้ว   ผมมุ่งเล่นการเมืองแห่งความเอื้ออาทร โดยการให้ค่าโดยสารแบบแถมหรือเพิ่มให้นิดหน่อย   แถมด้วยคำชมหากเขาขับรถดี ผู้โดยสารสบายใจหรือรู้สึกปลอดภัย   ผมคิดว่าการที่ผมทำเช่นนี้ เป็นการทำคุณประโยชน์แก่สังคมทางหนึ่ง   ที่จะดึงรั้งจิตใจผู้คนไม่ให้คิดหมกมุ่นอยู่แต่กับความรู้สึกเคียดแค้นเกลียดชัง   ผมคิดว่าสังคมที่ผู้คนเต็มไปด้วยความเคียดแค้นสังคม เกลียดชังคนอื่น เป็นสังคมที่ป่วย   เราต้องช่วยกันเยียวยาสังคม  ช่วยกันทำให้คนในสังคมมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน   มีความรักความเห็นใจกัน

          ผมเป็นนักการเมืองนอกสภา นอกวงการเมือง ที่เล่นการเมืองแบบเล่นคนเดียว   ทำคนเดียว เล่นแบบไม่หวังผลต่อตนเอง   แต่หวังผลต่อจิตใจคนในสังคม   เล่นโดยใช้เครื่องมือ จาคะ และความเห็นอกเห็นใจ

          เอามา ลปรร. เพื่อชักชวนกันเล่นการเมืองแนวนี้เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่น่าอยู่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

 
วิจารณ์ พานิช
๑ พ.ค. ๕๓
                             
หมายเลขบันทึก: 355946เขียนเมื่อ 4 พฤษภาคม 2010 08:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤษภาคม 2012 23:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ชื่นชมในพฤติกรรมการปฏิบัติของท่าน ช่วยลดช่องว่างชนชั้นได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งช่วยรักษาบาดแผลในใจของเขาได้บางส่วนค่ะ

...อ่านแล้วมีความรู้สึกดีๆ ในยามเช้า......ขอบคุณค่ะ

เรียนท่านอาจารย์หมอที่เคารพ

      เมื่อสภาวะจิตสูงและอิสระต่อโลกมากขึ้น กระผมเชื่อว่าวิจารณญาณในการใช้ชีวิตจะสูงขึ้นตามลำดับ การมีปฏิสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์จะเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ และปฏิสัมพันธ์ด้วยความรอบคอบและประณีต ตามสมควรแห่งเหตุปัจจัย ของสถานการณ์

     เมื่อสังคมมีการปฏิบัติต่อกันด้วยการให้ความรัก (หัวใจที่ยิ่งใหญ่หรือโพธิปัญญา) กระผมเชื่อว่าจะทำให้เราดึงเมล็ดพันธุ์ดีๆออกมาสังคมจะดีขึ้นหลากหลายมิติ กระผมคิดว่า วงการศึกษาไทยต้องมีบุคคลากรที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อจะพัฒนาศักยภาพมนุษย์ จากที่เคยอ่านหนังสือของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่านเขียนไว้ แสดงถึงความเป็นบรมครู ความเป็นครูที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้า กระผมจำไม่ได้ในรายละเอียด ในเชิงบุคคล สถานที่ และก็ไม่แน่ใจว่าคำพูดที่ยกมาจะถูกทั้งหมดไหม โดยพระพุทธเจ้ากล่าวสอนว่า “ท่านก็ทำดีได้ ไยหมิ่นตนเสียเล่า” กระผมคิดว่านี่คือข้อความที่สัมผัสไปถึง จิตใจ หรือระดับจิตวิญญาณ เราเลยทีเดียว หากมีคำกล่าวสอนที่ลงระดับลึกต่อการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เพื่อดึงพลังแห่งศรัทธาออก ประกอบด้วยกับการมี role model ที่มาเปิดพื้นที่ทางปัญญาในแง่มุมต่างๆ อย่างหลากหลายในสังคม สังคมจะไม่ไหลตามกระแสแห่งมายาคติจนสุดโต่ง กระผมคิดว่าแก่นสังคมจะอยู่ในทางที่ประเสริฐ เป็นสังคมแห่งสันติสุข และใช้ปัญญาในทางที่สร้างสรรค์ต่อโลก

ด้วยความเคารพครับผม

นิสิต

เยี่ยมที่สุดครัยอาจารย์

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่แลกเปลี่ยนครับ...

ผมทำแบบอย่างที่แตกต่างจากอาจารย์ครับ
ผมคงไม่ใช่นักเทศน์หรือนักปฏิบัติธรรมที่เก่งกล้าอะไร
แต่ผมคิดว่าเมื่อมีโอกาสนั่งแท้กซี่ทุกครั้งผมขอคุยกันเขาดีๆ
แล้วเปลียนกรอบความคิดของเขาด้วยหลักคุณธรรม
ผมไม่เคยถามเขาว่าทำไมเขาจึงชอบเสื้อแดงหรือชอบทักษิณเพราะเรื่องนี้ฝังอยู่ในหัวของเขา
ผมพูดเรื่องคุณธรรม ซึ่งเขาไม่สามารถปฏิเสธ "คุณธรรม" ในตัวมนุษย์ของคุณทักษิณว่ามีหรือไม่


แท้กซี่ไม่เคยไล่ผมลง มีแต่จะขอบคุณที่คุยในช่วงสั้นๆกับเขาแล้วเขารู้เรื่องครับ

ผมลงรถไม่ได้ลงมือเปล่าครับ

 

 

ท่านอาจารย์ที่เคารพ ถ้ารวมเอาความคิดที่หลากหลายแง่มุมที่ได้จากแท็กซี่โดยมองว่าป็นเสียงที่ถูกบันทึกไว้จากการที่เขา(แท็กซี่)ได้พบปะกับผู้คนมากมายมาให้ผู้บริหารประเทศได้รับรู้เพื่อให้เข้าใจสังคมดีขึ้นคงจะดีไม่น้อยนะครับ

สวัสดีครับ

คนดีก็ดีกันไป คนไม่ดีก็ว่ากล่าวกันไป

"ผมลงรถไม่ได้ลงมือเปล่าครับ" <<< คุณ Premium จะมาต่อภาค 2 หรือ?

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท