เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ คณะทำงานประสานงานด้านการโรงแรม ได้ประสานงานกับโรงแรมต่างๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้าร่วมประชุมและชี้แจ้งแนวทางในการทำงาน เพื่อตกลงและหาทางเลือกที่ดีที่สุดในการจัดเตรียมที่พักในโรงแรมต่างๆ คือ โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ อู่ทองอินน์ แคนทารี วรบุรี อโยทยา ริเวอร์วิว เอมโป ทีเอ็มแลนด์ และอาคารหอพักอาคันตุกะของมหาจุฬาฯ
บทสรุปเบื้องต้นที่ชัดเจนคือ โรงแรมต่างๆ ชาวพุทธทั่วโลกจะเข้าร่วมประชุมจำนวนทั้งสิ้น ๑,๖๕๐ รูป/คน และจะเข้าพักตั้งแต่วันที่ ๒๐-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ซึ่งจะกระจายไปตามโรงแรมต่างๆ ทั้ง ๙ แห่ง
โรงแรมต่างๆ เห็นพ้องต้องกันที่จะจัดบรรยากาศให้สอดรับกับการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก ที่จะจัดขึ้น ณ เมือง มรดกโลก ประเด็นคือ วิสาขบูชาโลกได้รับการยอมรับจากองค์การสหประชาชาติให้เป็น "วันสำคัญสากลของโลก" ส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับการยอมรับจากองค์การยูเนสโกให้เป็น "เมืองมรดกโลก" ฉะนั้น การจัดงานนี้จึงสะท้อนความสำคัญของความเป็นงาน "ระดับโลก" เพื่อชาวพุทธทั่วโลก
โรงแรมต่างยินดีและพร้อมใจที่ประดับด้านหน้าและด้านในของโรงแรมตัวเองเพื่อให้ร่วมประชาสัมพันธ์และแสดงสัญลักษณ์ของการจัดงานและร่วมเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้
ขออนุโมทนาทีมงานทุกท่าน นำโดย ท่านผู้อำนวยการกองวิชาการ พระมหาสุทัศน์ ติสฺสรวาที ในฐานะเป็นคนอยุธยาโดยกำเนิด โยมเอื้อมอร ชลวร พร้อมทั้งทีมงาน ได้จัดเตรียมและประสานงานกับโรงแรมต่างๆ มาเป็นระยะเกือบเจ็ดเดือน และทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชาวพุทธทั่วโลกจะได้รับความสะดวกสบายตามสมควรแต่อัตภาพ และมีกำลังกายกำลังใจที่จะเข้าร่วมประชุม และร่วมเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาโลกครั้งที่ ๗ โดยมีชาวพุทธทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอยุธยาร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดงานครั้งนี้
ด้วยธรรมะ พร และเมตตา
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส
ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ
นมัสการครับ
น่ายินดีกับอยุธยาครับกับเมืองมรดกโลกและได้เป็นสถานที่จัดงานระดับโลก
ถือเป็นโอกาสที่ดีมากแล้วครับ
การต้อนรับแขกเมืองเป็นวัฒนธรรมที่มีคุณค่าที่สร้างภาพจน์ที่ดีให้กับประเทศไทยมานานแล้วครับ
สิ่งสำคัญก็คือ ไม่เฉพาะเพียงผู้จัด หรือผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่มีส่วนรับแขกบ้านแขกเมือง
แต่ประชาชนทุกคน มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกันครับ
ที่อินเดีย ผมชอบใจวัฒนธรรมการเจิมหน้าผากที่เรียกว่า ตีลัก ถือเป็นประเพณีที่ดีมาก ใช้ในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองได้
อันที่จริงแล้ว ไทยเราก็ได้นำการเจิมหน้าผากนี้มาใช้เหมือนกัน แต่ลดลงเหลือเพียงในงานมงคลไม่กี่งาน เช่นงานมงคลสมรส การเจิมสถานที่ต่างๆ
ที่อินเดีย เวลาแขกมาถึงโรงแรม จะมีการทำพิธีต้อนรับโดยการแต้มติลักนี้เพื่อเป็นการต้อนรับสู่ที่พักเสทือนเป็นบ้าน
ผมมองเห็นว่าการเจิมหน้าผากนี้ ลึกๆ แล้วมีความหมายที่ดีมาก ไม่เฉพาะการต้อนรับ หรือแสดงความเป็นฮินดู แต่มีความหมายต่อจิตใจและจิตวิญญานด้วย
สมควรที่คนไทยจะนำกลับมาใช้กันอีกที
ขอชื่นชมการทำงานที่แข็งขันครับ
นมัสการ
นมัสการครับ
เข้ามาต่อจากความเห็นแรกครับ
ประเพณีของไทย เวลาต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ถ้าเป็นระดับรัฐ ก็จะมีพิธีรับที่สนามบิน และมอบกุญแจเมือง
ระดับทั่วไป ก็คงรับกันตรงทางออกผู้โดยสารขาเข้า จะมอบพวงมาลัยหรืออะไรก็ทำได้
เวลาเข้าโรงแรม ก็จะมีการต้อนรับอีกครั้ง ตามหลัก ผจ.โรงแรมก้ต้องมารอต้อนรับ มอบพวงมาลัยหรืออื่นๆ ก็สุดแต่
สังเกตุว่า อินเดียฮินดูใช้การเจิมหน้าผากต้อนรับบวกกับการคล้องพวงดอกไม้ ของไทยเราใช้มอบที่มือ
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ใช้วิธีต้อนรับโดยการคล้องผ้าพื้นเมืองที่คอผู้มาเยือน
ก็ล้วนเป็นการต้อนรับที่จะทำให้ผู้มาเยือนประทับใจได้ครับ