กิน นอน ออนไลน์


บางทีความไร้สาระนั้น อาจะมีสาระแฝงอยู่ แล้วแต่ว่าเราหาเจอหรือไม่

อาจารย์ให้บันทึกเรื่องการทำงาน แต่ดิฉันไม่ได้ทำงานแล้ว จึงกลายเป็นบันทึกประจำวันแทน ซึ่งการดำเนินชีวิตของดิฉันในแต่ละวันนั้น ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ในบางเวลาก็ดูเหมือนจะไร้สาระเอามากๆเลยค่ะ เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนมา ก็ไปหาอะไรทาน แล้วก็มาเล่นเน็ต จากนั้นก็กลับไปนอน กิจวัตรประจำวันจะวนเวียนอยู่แบบนี้ค่ะ จนคุณพ่ออดที่จะตั้งชื่อให้ไม่ได้ว่า “กิน นอน ออนไลน์”

ถ้าหากอยู่บ้านเชียงใหม่ ก็จะตื่นนอนเช้าหน่อย อาจเพราะคุ้นเคยกับการตื่นเช้าๆไปทำงาน และตื่นเช้าๆไปเรียน พอวันไหนที่ไม่ได้ไปทำงานหรือไปเรียน อยากตื่นสายๆ แต่ก็ทำไม่ได้ค่ะ เพราะชินกับการตื่นเช้าไปเสียแล้ว จากนั้นก็จะไปหาอะไรทาน เปิดคอม ออนไลน์ เว็บที่เข้าเป็นประจำก็ hi5 pajerosportsociety cm108 pantip ห้องรัชดาและก้นครัว พอเบื่อๆจากสังคมออนไลน์ ก็จะออกไปช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายนะคะ คิดก่อนซื้อค่ะ บ้างก็ไปเที่ยวที่ทำงานเดิม แม้จะไม่ได้ทำงานที่นั่นแล้ว แต่ก็ยังผูกพันกับที่นั่น หากไม่ได้ไปทานข้าวนอกบ้านกับใครก็จะกลับเข้าบ้านในตอนเย็นๆ กลับมาทำงานบ้าน แล้วก็เริ่มออนไลน์อีกครั้ง เพื่อนๆชอบบ่นว่าดิฉันเป็นบุคคลที่ตามตัวได้ยากมากๆ เดี๋ยวอยู่เชียงใหม่ เดี๋ยวอยู่ลำพูน เผลอๆบางทีไปโผล่อยู่กรุงเทพฯ หากอยากเจอดิฉันล่ะก็...ไม่ยากค่ะ ตามหาได้ในเว็บข้างต้นนะคะ รับรองว่าเจอดิฉันแน่นอนค่ะ ฮา

บางคนอาจจะมองว่า ชีวิตของดิฉันนั้น ช่างหาสาระไม่ได้เลย ไม่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ แต่ดิฉันคิดว่าบางทีความไร้สาระนั้น อาจะมีสาระแฝงอยู่ แล้วแต่ว่าเราหาเจอหรือไม่ อย่างวันก่อน อาจารย์ดร.สวัสดิ์ ถามว่า ร.ย.ล. มีชื่อเต็มว่าอย่างไร ดิฉันก็สามารถตอบได้ ว่า “ราชยานยนต์หลวง” เนื่องจากว่าเข้าห้องรัชดาบ่อย เลยทำให้ผ่านตามาบ้าง เห็นไหมคะ ก็ยังพอมีสาระอยู่บ้างค่ะ

และหากวันไหนอยู่บ้านลำพูน ก็จะตื่นสายกว่าตอนที่อยู่บ้านเชียงใหม่ แต่ไม่ถึงกับสายมาก เพราะห้องนอนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภูมิปัญญาของคนออกแบบบ้านกระมัง ที่ไม่อยากให้เจ้าของบ้านตื่นสาย พอตื่นขึ้นมาก็จะทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แล้วก็ไปช่วยคุณแม่ตั้งโต๊ะทานข้าว ดิฉันไม่ได้ตื่นมาช่วยคุณแม่ทำกับข้าว ท่านจะไม่ปลุกเลยค่ะ คงอยากให้ลูกได้พักผ่อนเยอะๆ(แต่จะพยายามตื่นมาช่วยคุณแม่ทำกับข้าวค่ะ) พอทานข้าวเสร็จก็ไปล้างจาน แล้วมาสู่สังคมออนไลน์อีกครั้ง พอเบื่อๆก็ไปนอน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันค่ะ เวลาอยู่บ้านลำพูน ชอบนอนกลางวันมากๆ เหมือนพลังมีบางอย่างมาดึงดูดดิฉันให้ไปนอน พอตื่นมาก็มาออนไลน์ แล้วไปช่วยคุณแม่ทำกับข้าว พอตกเย็นหลังจากที่ทานข้าวเสร็จแล้ว ก็จะมาดูข่าวกับที่บ้าน ซึ่งที่บ้านจะมีโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียว การได้มานั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน มันทำให้สัมพันธภาพของครอบครัวอบอุ่นค่ะ สามารถวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมืองร่วมกัน หรือแม้แต่รายการโทรทัศน์ที่ให้ข้อคิดกับชีวิต คุณพ่อคุณแม่ก็จะสอนดิฉันทุกครั้ง ดิฉันคิดว่าบางบ้านที่มีโทรทัศน์ในห้องนอนให้ลูกคนละเครื่อง มันทำให้ช่องว่างระหว่างวัย และครอบครัวดูลดลง ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงไม่รบเร้าให้ที่บ้านซื้อโทรทัศน์ให้ค่ะ หากดูข่าวจบแล้วดิฉันก็จะกลับไปสู่สังคมออนไลน์อีกครั้ง จนถึงเวลาเข้านอนค่ะ

อย่างวันนี้ ดิฉันก็รีบตื่นแต่เช้า เพราะมีนัดกับฝ่ายบุคคลว่าจะไปดำเนินการเรื่องประกันสังคมค่ะ แต่กว่าจะทานข้าว ทำงานบ้าน และกว่าจะไปถึงที่ทำงานก็10โมงกว่าแล้ว แต่ต้องรอฝ่ายบุคคลทำงานอีกพักนึง โชคดีจริงๆค่ะ ที่มีฝ่ายบุคคลมาเป็นเพื่อน เพราะดิฉันไม่เคยมาติดต่องานราชการที่ศาลากลางจังหวัดด้วยตนเองเลย ทางเข้าออกมีแค่ทางเดียว ตรงสำนักงานประกันสังคม รายล้อมไปด้วยลวดหนาม แถมยังมีแท่งปูนกั้นอีกด้วย มีรูเล็กๆให้เดินเอียงๆเข้าไป และจะต้องแลกบัตร ถ่ายรูปเป็นหลักฐาน แม่เจ้า นี่มันสถานที่ราชการนะคะ ทำไมการมาติดต่อราชการช่างลำบากเหลือเกิน กว่าดิฉันจะทำธุระเสร็จ เกือบบ่ายโมงค่ะ รอนานมากๆ ก็เขียน Complain ใส่กล่องไปตามวิสัยของดิฉันค่ะ

พาฝ่ายบุคคลไปทานข้าวกลางวัน คุณแม่โทรมาหา บอกว่าต้องพาคุณยายไปโรงพยาบาลตามนัดวันที่ 30 นี้ ให้กลับบ้านมารับคุณยายด้วย ก็รับทราบค่ะ ถึงเวลาที่จะได้แสดงความเป็นหลานกตัญญูอีกครั้งแล้ว มาส่งฝ่ายบุคคลที่สวนสัตว์ ขณะขับรถผ่าน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เหลือบไปเห็นรถท่านสารวัตรจอดอยู่(ปกติไม่ได้อยู่ที่นี่) ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร แต่วางดีว่า คุยโทรศัพท์ขณะขับรถไม่ดีค่ะ

ส่งฝ่ายบุคคลเสร็จแล้วก็ไป สภ.เมือง เชียงใหม่ เพื่อไปแจ้งความเอกสารหาย พอไปถึงจุดประชาสัมพันธ์ แม่เจ้า ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เด็กฝึกงานกำลังเล่นหยอกล้อหยอกเอินกับตำรวจ เห็นแล้วหดหู่ใจมาก ทำไมวางตัวไม่เหมาะสมอย่างนี้ ดิฉันยืนอยู่ตั้งนาน แทนที่จะถามว่า “มาติดต่ออะไรคะ” กลับไม่ถาม และไม่สนใจ กลับไปพูดคุยกับตำรวจเหมือนไม่มีดิฉันยืนอยู่ตรงนั้น ดิฉันเป็นคนที่ชอบแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางอยู่แล้ว คุณตำรวจคงเห็น เลยรีบสะกิดแล้วบอกเด็กฝึกงานว่า “ถามพี่สิว่ามาติดต่ออะไร” ถ้าคุณตำรวจไม่เตือน สงสัยคงไม่เห็นดิฉันที่ยืนเป็นหัวหลักหัวตออยู่ตรงนั้นเป็นแน่แท้ ถ้าหากพี่ชายดิฉันยังทำงานอยู่ที่นี่ คงต้องบอกให้มีการตักเตือนบ้างแล้วล่ะค่ะ เพราะที่ผ่านมา เด็กฝึกงานกับตำรวจ มักจะมีข่าวในทางที่ไม่ดีออกมาอยู่เสมอ ดิฉันคิดว่า การฝึกงานที่สถานีตำรวจ ไม่ได้เกิดประโยชน์แก่เด็กตรงไหนเลย ซึ่งจะส่งผลเสียแก่เด็กตอนไปทำงาน

พอทำแจ้งความเสร็จแล้วก็ไปโชว์รูมมิตซูฯ เซลล์ไม่อยู่ค่ะแต่ฝากเรื่องกับทีมเซลล์ไว้แล้ว ระหว่างที่รอทีมเซลล์ ก็เจอพนักงาน เค้าถามว่า “เจอเซลล์หรือยังคะ” คงจะเห็นดิฉันไปหาเซลล์บ่อยๆตอนออกบูท ช่างบางคนก็บอกเซลล์ว่า “ลูกค้ามาหา ดูแลด้วยนะ” เหมือนดิฉันเป็นลูกค้าคนสำคัญเลย ดูแลดีจริงๆค่ะ สักพักท่านสารวัตรโทรมา ก็พูดคุยกันนิดหน่อย ท่านแซวว่า “ออกจากงานแล้วทำไมยังวนเวียนอยู่แถวนั้นอยู่” เพราะถ้าเป็นพนักงานคนอื่นๆ คงไม่ย่างกรายเข้าไปอีก ท่านก็ถามดิฉันว่า “เป็นเสื้อสีอะไร” เนื่องจากไม่อยากทำร้ายจิตใจท่าน เลยไม่ขอตอบแล้วกัน ท่านก็สั่งไว้ว่า “หากทราบความเคลื่อนไหวของของกลุ่มเสื้อสีต่างๆ แจ้งให้พี่ทราบด้วยนะ” โอ้ว์ นี่ดิฉันหลายเป็นสายข่าวของตำรวจแล้วหรือเนี่ย ทีมเซลล์เอาน้ำมาเสิร์ฟดิฉัน และเซลล์อีกคนที่กำลังเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับของแถมก็นำน้ำมาเสิร์ฟด้วย ทำให้ดิฉันนึกถึงตอนไปจองรถมาสด้าสองในวันเปิดตัว แม้แต่น้ำแก้วเดียวดิฉันก็ไม่ได้รับจากเซลล์ จริงๆแล้วดิฉันไม่ได้กระหายน้ำถึงเพียงนั้น แต่อยากเห็นน้ำใจ เพราะนั่นเป็นการสื่อถึงการเอาใจใส่และบริการลูกค้าต่างหาก วันนั้นเซลล์มาสด้าจึงพลาดเงินจองจากดิฉันไปอย่างน่าเสียดาย ดิฉันคิดไม่ผิดจริงๆค่ะ ที่มาเป็นลูกค้าของมิตซู เท่าที่สังเกตเห็น หากลูกค้ากำลังคุยรายละเอียด เซลล์ที่ว่างก็จะเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ แม้ว่าลูกค้าท่านนั้นจะไม่ใช่ลูกค้าของตัวเองก็ตาม ดิฉันนับถือน้ำใจและการบริการของที่นี่มากเลยค่ะ

ออกจากโชว์รูมก็รีบไปธนาคาร เพราะใกล้จะปิดแล้ว เอาเงินมาฝากครึ่งค่อนปีได้ดอกเบี้ย 95 บาท ขำมากค่ะ ก็แอบแซวพนักงานไป พี่เค้าก็ไม่อยากให้ปิดบัญชี เลยบอกว่า “จะไปเปิดบัญชีให้น้องที่ทำงานเก่า ธนาคารเดียวกันนี่แหละค่ะ” แล้วก็นำดอกเบี้ยที่ได้ ไปซื้อขนมฝากคุณพ่อค่ะ จากนั้นก็กลับมาบ้าน รีดผ้าให้คุณน้า ปกติจะส่งซักที่ร้าน แต่นี่เป็นจำพวกเสื้อผ้าใส่เล่น มีไม่เยอะค่ะ แล้วก็มาออนไลน์กับเพื่อนที่อยู่ยะลา เพื่อนบอกว่า “เสียงระเบิดที่นี่ ฟังเหมือนเสียงประทัดเลย” ก็เป็นห่วงเพื่อนเหมือนกันค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่ต้องลงใต้ จากนั้นก็ไปทำการบ้านที่อาจารย์ได้มอบหมายให้ ซึ่งก็คือเขียนบันทึก หากใครที่คุ้นเคยกับการเขียนไดอารี่ออนไลน์ของดิฉันก็จะเฉยๆ แต่หากไม่คุ้นก็คงบอกว่าช่างเป็นบักทึก(ไร้สาระ)ที่ยาวมากๆ จริงๆแล้วมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกตั้งเยอะค่ะ แต่ตัดออกบ้าง ไม่เช่นนั้นจะยาวไป ดิฉันจะชอบเขียนความรู้สึกลงไปในบันทึกด้วย บ้างก็แอบเสียดสี เหน็บแนม แต่หากเจอเรื่องที่ดีๆ ก็จะยกย่อง แต่การบันทึกในที่นี้ ยังไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของดิฉัน เพราะไดอารี่ที่ดิฉันเคยเขียน จะนำเอาภาษาพูด มาเป็นภาษาเขียน มีเรื่องเล่าฮาๆ มุกขำๆแทรกอยู่เยอะค่ะ แต่การเขียนในบล็อคนี้จะเกรงมาก ด้วยภาพลักษณ์คุณครูในอนาคต เลยต้องวางตัวนิดนึงค่ะ หากมีเวลาว่าง คงจะได้อ่านไดอารี่ออนไลน์ของดิฉันแน่นอนค่ะ

หมายเลขบันทึก: 355282เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2010 11:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มีนาคม 2012 10:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท