คนไทยต้องรักกัน


คนไทยรักกัน

คนไทยต้องรักกัน

 

                ชาติ  ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และเอกราชของชาติไทย  ซึ่งประชาชนคนไทยทุกคน ต้องรู้จักรักและหวงแหน สามสถาบันนี้ไว้เท่าชีวิต  ดังจะเห็นได้จากเมื่อครั้งบรรพบุรุษ บรรพชนของเรา  ที่พร้อมถวายชีวิตเพื่อแลกกับความเป็นชาติไทยของเรา  จวบจนมาถึงปัจจุบันนี้  

               วีรกรรมของวีรบุุรุษของไทยที่ถูกกล่าวขานถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นเอกราชถึงทุกวันนี้ คือเหตุการณ์ที่พระนเรศวรมหาราช ท่านได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา  ในปี พ.ศ. 2135  โดยมีเหตุการณ์พอสังเขป ดังนี้ พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง  โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย เช้าของวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไปทัน    สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าเท้าพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า "พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"   พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง    ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้าเมืองจาปะรีเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน

ส่วนวีรกรรมของวีรสตรีของไทย ที่สามารถกอบกู้เมืองนครราชสีมาให้รอดพ้นจากน้ำมือกบฏเวียงจันทน์ คือ ท่านท้าวสุรนารี(คุณหญิงโม,ย่าโม) เมื่อพุทธศักราช 2369  เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ เป็นกบฏต่อกรุงเทพมหานคร ยกกองทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้ แล้วกวาดต้อนครอบครัวชาวนครราชสีมาไป

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ คุณหญิงโม และนางสาวบุญเหลือ ได้รวบรวมครอบครัวชาย หญิงชาวนครราชสีมาที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย เข้าต่อสู้ฆ่าฟันทหารลาวล้มตายเป็นอันมาก ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พุทธศักราช 2369 ช่วยให้ฝ่ายไทยสามารถกอบกู้เมืองนครราชสีมากลับคืนมาได้ในที่สุด

เมื่อความทราบไปถึง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาคุณหญิงโม ขึ้นเป็น ท้าวสุรนารี เมื่อ วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2370 เมื่อคุณหญิงโมมีอายุได้ 57 ปี 

จะเห็นว่าหลายๆเหตุการณ์ที่บรรพบุรุษของเรา ได้สละเลือดทุกหยด หรือแม้แต่ชีวิตเพื่อให้ชาติของเราคงอยู่ และเป็นเอกราชอยู่ได้ แต่ทำไมคนไทยปัจจุบันนี้ จึงต้องเข่นฆ่ากันอย่างไม่มีความปราณี เยื่อใยซึ่งกันและกันเลย เพียงแค่ผลประโยชน์ อำนาจ ที่ไม่มั่นคง ถาวรแค่นั้น  ทำไมเราไม่หันหน้ามาคุยกันแล้วพัฒนาชาติไปสู่ความเจริญ รุ่งเรือง เพื่อให้สมกับที่บรรพบุรุษของเราได้เสียสละชีวิต ในครั้งนั้น

 

กับทางออกของประเทศไทย ซึ่งดูเหมือนว่า จะเริ่มเป็นทางตันเข้าไปทุกที  เพราะท่าทีของแต่ละฝ่าย ที่ต้องการในสิ่งที่สนองตอบต่อความต้องการของตนเอง คืออำนาจ และผลประโยชน์เพียงเท่านั้น โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคม เศรษฐกิจ ประเทศชาติเลย  ในทางแก้ไข ทางออกของประเทศไทยสำหรับข้าพเจ้า คิดว่า คนไทยน่าจะยึดเอาประเทศเป็นสำคัญ หันหน้ามาคุยกันอย่างมีสติและเป็นกัลญาณมิตร เพื่อนำไปสู่ข้อตกลง กติกาในการปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นระบบ และทุกฝ่ายยอมรับได้  เมื่อนั้นสังคมก็จะสงบ ร่มเย็น ก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีต่อกัน ความรู้สึกที่ดีๆมีให้กัน จนก่อให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ และการพัฒนาชาติต่อไป

            มีหลายๆท่าน ได้ชี้แนะ ชี้นำถึงทางออกของประเทศไทยไว้มากมาย แต่ ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงบทความของ น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ท่านกล่าวไว้ได้อย่างเหมาะสมและน่ายกย่อง ดังนี้

            สภาพสังคมไทยที่ซับซ้อน ทำให้ประเทศไม่มีทางออกหรือหาทางออกยาก นอกจากมีวิกฤตทางเศรษฐ กิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง  วิกฤตเศรษฐกิจคงแก้ไขไม่ได้หากโครงสร้างหลายอย่าง โดยเฉพาะความยาก จนและความไม่เป็นธรรม หรือช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ห่างออกไปทุกวัน

ส่งผลให้การเมืองหาทาง ออกยาก และคนในเมืองกับคนชนบทเลือกผู้แทนต่างกัน ที่เรียกว่า"สองนครา ประชา ธิปไตย"

นอกจากนี้ยังเกิดความไม่สมดุลของธรรมชาติเพราะผลของระบบบริโภคนิยม ทำให้สร้างประชาธิปไตยที่มีคุณภาพไม่ได้ นำมาสู่การเผชิญหน้าของคนสองฝ่ายที่ต่อสู้กัน คือฝ่ายที่เชื่อว่า "ระบอบทักษิณ" ดี ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่าฉ้อฉลและคอร์รัปชั่น ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงนี้ทำให้ความสมานฉันท์เกิดขึ้นไม่ได้ เหตุ 5 ประการ ที่ทำให้วิกฤตแก้ยากคือ

1.โครงสร้างสังคมไทยเป็นแนวดิ่ง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจข้างบนกับผู้ไม่มีอำนาจข้างล่าง ทำให้เกิดความเสื่อมเสียทางศีลธรรม การแก้ปัญหาต้องเผยแผ่ความดี

2.ยังปกครองโดยอำนาจรวมศูนย์ ทำให้เป็นเผด็จการโดยอำนาจรัฐ ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นมาก เล่นพรรคเล่นพวก วิกฤตที่เกิดขึ้นแก้ไขแบบเดิมๆ ไม่ได้ ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ต้องกระจายอำนาจไปสู่ชุมชน

3.ระบบการศึกษาทำให้สังคมอ่อนแอทางสติปัญญามาก เอาวิชามาเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาชีวิตและสังคมเป็นตัวตั้ง

4.การพัฒนาต้องมาจากรากฐาน ไม่ใช่การมองความเจริญจากด้านบนลงมาข้างล่าง ผู้นำประเทศจำเป็นต้องเห็นความสำคัญของการศึกษา

5.ธนกิจการเมือง ผู้แทนเสื่อมลงเพราะอำนาจกองทัพและอำนาจเงินเข้าแทรกแซง เกิดปรากฏการณ์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อำนาจเงินเข้าสู่การเลือกตั้งหลายหมื่นล้านบาท เอื้อประโยชน์กันระหว่างทหารและนักการเมือง มีการใช้เงิน 30 ล้านบาทต่อผู้แทน 1 คน ทั้งสภารวมเป็นเงินถึงหมื่นล้านบาท ทำให้ประเทศไปไม่ได้ เกิดรัฐประหารซ้ำซาก

ทางออกเฉพาะหน้า ความวิตกกังวลที่จะเกิดการปะทะ เกิดความรุนแรง นองเลือด เผชิญหน้า จึงต้องหาทางไม่ให้เกิดการนองเลือด ร่วมกันฝ่าความยุ่งยากให้ได้ด้วยสันติวิธี เคารพกฎหมายและมีความยุติธรรม ไม่เช่นนั้นจะเกิดอนาธิปไตย การสมานฉันท์จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าความเห็นแตกต่างเป็นแบบขาวกับดำ

การแก้ปัญหาต้องใช้สันติวิธี ใช้นิติธรรม คือต้องยึดหลักความยุติธรรมตามกฎหมายและกฎกติกาต่างๆ และสัมมาธรรม คือต้องใช้ความรู้อย่างมีเหตุผลบนพื้นฐานของความถูกต้อง ต้องปรองดองกันไว้ ความขัดแย้งโกลาหลที่เกิดขึ้นต้องตั้งสติให้ดีและถือเป็นโอกาส ต้องตะล่อมอย่าให้เกิดการนองเลือด ต้องเจรจาและมีเหตุผล ถ้าทำได้ฝันไม่ไกลเกินเอื้อม ประเทศมีทางออก นำไปสู่ยุคศรีอารยะ

 

           จากบทความของข้าพเจ้านี้ เขียนขึ้นเพื่อเป็นการสะท้อนมุมมอง ความคิด ของตนเองเพื่ออยากให้ทุกคนในชาติ เกิดความรัก สามัคคีกันเท่านั้น  ไม่ได้จงใจหรือเจตนาเข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง เพราะข้าพเจ้าเป็นประชาชนคนไทย(คนหนึ่ง) ที่ต้องการเห็นชาติมีความมั่นคง และพัฒนาไปในทางที่ดี เป็นที่ยอมรับในนานาประเทศ  รวมไปถึงสถาบันศาสนา และพระมหากษัตริย์ เช่นกัน

 

  ( ถ้าคนไทย...ไม่รักกัน  แล้วเรา...จะร้องเพลงชาติ...ให้ใครฟัง )

 

                ด้วยความรัก ปรารถนาดีจาก ครูแบงค์ ป่าบุ้ง

 

คำสำคัญ (Tags): #โคราช12
หมายเลขบันทึก: 351047เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2010 13:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ค่ะ...คนไทยต้องรักกัน!!!

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท