คลังเร่งหาเงิน 4 แสนล. อัดฉีด ศก. รับงบฯ ปี 50


การคลัง
กระทรวงคลังเตรียมมาตรการกู้เงินทุกรูปแบบ เร่งหาเงินสด 3-4 แสนล้านอัดฉีดระบบเศรษฐกิจ รองรับผลกระทบการเมืองทำร่าง พ.ร.บ.งบรายจ่ายปี 2550 ล่าช้า  เหตุไร้รัฐบาล "สป." กังวลหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น 1.1 แสนบาทต่อคนต่อปีแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมมาตรการรองรับสำหรับกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 จะต้องล่าช้าออกไปจากความไม่ชัดเจนทางด้านการเมือง ซึ่งอาจจะทำให้การเลือกตั้งล่าช้า และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล หรือเปิดประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายใด ๆ ได้ แต่ความล่าช้าดังกล่าวอาจจะมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะขาดเม็ดเงินที่จะใช้ในการอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยแนวทางที่เตรียมการไว้และคาดว่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือ การกู้เงินในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ในการบริหารเงินสด ผ่านการออกตั๋วเงินคลัง หรือการออกพันธบัตร เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้ก่อนในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการจัดทำงบประมาณ   "ปัญหาของกระทรวงการคลังตอนนี้คือ ไม่มีเครื่องมือทางการคลังที่จะเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจได้ทัน เพราะติดเรื่องกฎหมาย เนื่องจากรัฐบาลไม่มีเสถียรสภาพ จึงไม่สามารถจัดทำงบประมาณเพิ่มเติม หรือทำงบขาดดุลระหว่างปีได้ ซึ่งต่างจากในอดีตเมื่อตอนวิกฤต 2540 กระทรวงการคลังใช้วิธีเปลี่ยนจากงบสมดุลมาเป็นงบขาดดุล ในการจัดทำงบประมาณปี 2542 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้เรามีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณที่ไม่สามารถขยับอะไรได้จึงต้องหาวิธีอื่น"แหล่งข่าวกล่าวว่า ในช่วงแรกที่ปัญหาการเมืองยังไม่ยืดเยื้อมากนัก กระทรวงการคลังเลือกที่จะใช้วิธีเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในทุกประเภท เพื่อให้ระหว่างที่ยังไม่มีงบประมาณปี 2550 นั้น ยังคงมีรายจ่าย    จากภาครัฐเข้าไปหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ โดยเท่าที่มีการประเมินไว้จะต้องมีเม็ดเงินประมาณ 3-4 แสนล้านบาท ที่จะอัดฉีดเข้าไปตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ 2550 ซึ่งมาจากงบฯลงทุนของปี 2549 ที่มีอยู่       2 แสนล้านบาท จะให้ใช้ให้หมดภายในไตรมาส 1 ของปีงบฯ 2550 และงบฯ เหลื่อมปีของปีงบประมาณ 2547 และ 2548 อีกประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ก็จะเร่งให้เบิกจ่ายมาใช้ให้หมดภายในเดือนกันยายน 2549 รวมทั้งการเร่งเบิกจ่ายงบฯ ลงทุนของปีงบฯ 2550 ซึ่งเป็นโครงการที่เคยอนุมัติในหลักการไปก่อนอีกประมาณ 1.2 แสนล้านบาท  อย่างไรก็ตาม ปัญหาอีกด้านของการเร่งการเบิกจ่ายงบฯ ทุกประเภทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจคือ ธรรมชาติของเงินภาษีที่จะไหลเข้ามามากในช่วงกลางปีงบประมาณ หรือตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของแต่ละปีเป็นต้นไป จากการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล  ขณะที่ช่วงต้นปีงบประมาณหรือช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคมในแต่ละปีนั้น   เงินภาษีจะเข้ามาน้อยกว่ารายจ่ายเล็กน้อย แต่ปีนี้เป็นปีไม่ปกติที่รัฐบาลต้องการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงต้องเตรียมบริหารเงินสดหรือเงินคงคลังล่วงหน้า    "แนวทางที่จะใช้คาดว่าจะใช้เครื่องมือเดิมคือ การออกตั๋วเงินคลังเป็นหลัก และบางส่วนอาจจะใช้การออกพันธบัตรตามช่องทางที่กฎหมายอนุญาตให้ออกได้ โดยอยู่ระหว่างประเมินตัวเลขที่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวจะดำเนินการไปก่อนในช่วงต้นปีงบประมาณ 2550 เมื่อมีรัฐบาลใหม่และจัดทำงบประมาณก็มาดูกันอีกทีว่ารายได้ 1.47 ล้านล้านบาท ที่คาดไว้จะทำได้หรือไม่ และจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลเท่าไหร่ แต่การจัดทำงบประมาณล่าช้าไปเท่าใด โอกาสในการใช้งบประมาณขาดดุลในปี 2550 ก็มีมากขึ้นเท่านั้น" รายงานข่าวแจ้งว่า แนวทางการกู้เงินเข้ามาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังนั้นถือว่ามีโอกาสทำได้มากที่สุด เพราะเป็นวิธีที่ไม่ต้องออกกฎหมาย หรือรอการตัดสินใจของสภา และระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังมีน้อยและเหลือช่องให้สามารถสร้างหนี้ได้เล็กน้อย โดยอยู่ระดับ 40% ของจีดีพีเท่านั้น เพียงแต่เรื่องดังกล่าวต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายหนี้สาธารณะ และที่ประชุม ครม. ซึ่งขึ้นอยู่กับทางฝ่ายการเมืองว่าจะกล้าตัดสินใจในขณะที่เป็นรัฐบาลรักษาการหรือไม่ มติชน (บางส่วน)  19  มิ.ย.  49
คำสำคัญ (Tags): #การคลัง
หมายเลขบันทึก: 34957เขียนเมื่อ 21 มิถุนายน 2006 15:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท