ผมในฐานะนักวิชาการและวิจัยทางกิจกรรมบำบัด ได้เป็นที่ปรึกษาในเชิงระบบการจัดโปรแกรมอาชาบำบัดสำหรับเด็กพิเศษมาเกือบสองปีแล้ว
วันนี้ผมขอชื่นชมทีมทหารกรมสัตว์ทหารบก จ. นครปฐม ที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัยถึงประสิทธิผลของโปรแกรมอาชาบำบัดร่วมกับกิจกรรมบำบัดต่อทักษะความสามารถของเด็กพิเศษ โดยผมได้พัฒนาแบบประเมินจนน่าเชื่อถือเพราะมีการใช้ผู้ประเมินมากกว่า 1 คน คิดระดับคะแนนสองรูปแบบในช่วงความสามารถและคะแนนความสามารถจาก 0-10 แยกข้อมูลแต่ละหัวข้อโดยการสังเกตขณะทำกิจกรรมขี่ม้าแล้วสังเกตความสามารถของเด็กพิเศษในด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย ด้านกระบวนการคิดและการแสดงออกทางจิตใจ และด้านการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์
นอกจากนี้โปรแกรมอาชาบำบัดเดิมที่พัฒนาโดยแทรกรูปแบบกิจกรรมบำบัดในระดับอายุ พฤติกรรม และความสามารถของเด็ก ที่ใช้การพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด เช่น โปรแกรมอาชาบำบัดระดับหนึ่ง (เน้นกิจกรรมบำบัด 70% อาชาบำบัด 30%) โปรแกรมอาชาบำบัดระดับสอง (เน้นกิจกรรมบำบัด 50% อาชาบำบัด 50%) และโปรแกรมอาชาบำบัดระดับสาม (เน้นอาชาบำบัด 70% กิจกรรมบำบัด 30%)
ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ ทางทีมทหารได้ตั้งข้อสังเกตว่า...
ผมจึงอยาก ลปรร กับทุกท่านที่สนใจว่า การบำบัดที่มีประสิทธิภาพมิใช่อยู่เพียงเทคนิค...หากแต่กรอบความคิดและแนวทางที่น่าจะพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่และก้าวหน้าขึ้นของเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไป
อยากให้ทุกท่านที่ช่วยเหลือเด็กพิเศษเหล่านี้อย่าคิดว่า "ผู้บำบัดหรือโปรแกรมบำบัดต่างๆ ต้องรับภาระการช่วยเหลือเด็กพิเศษอย่างเดียว...แต่ผู้ช่วยเหลือเด็กพิเศษทั้งหลายพึงตระหนักว่า "ต้องคิดวางแผนฝึกทักษะชีวิตในระยะยาว...คิดให้รู้แจ้งว่า "ถ้าผู้ช่วยเหลือไม่มีชีวิตอยู่แล้วเด็กพิเศษจะทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตได้อย่างไร...จะขี่ม้าจนตลอดชีวิตแล้วดำรงชีวิตได้จริงหรือ จะเล่นดนตรีหรือศิลปะบำบัดอย่างเดียวหรือ จะทำกิจกรรมบำบัดเฉพาะองค์ประกอบการประสมประสานการรับความรู้สึกอย่างเดียวหรือ?
ผมอยากให้ทุกท่านลองค้นคว้าเพิ่มเติมในหนังสือเหล่านี้ (ขอบคุณผู้ปกครองเด็ก CP ท่านหนึ่งแนะนำให้ผมแปล The Pathway to Wellness - Glenn Doman & the staffs of the Institutes for the achievement of Human Potential):
What to do about your brain-injured child
How to teach your baby to read
How to teach your baby to be physically superb
จะเห็นว่า ผู้ปกครองและผู้บำบัดต่างประเทศนิยมพูดคุยและพัฒนากระบวนการคิดสร้างโปรแกรมที่ส่งผลให้ลูกหลานเด็กพิเศษมีความสามารถในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตที่จำเป็น มิใช่วิ่งเข้าหาเทคนิคการฝึกต่างๆ จนเกินจำเป็น และ/หรือไม่เหมาะสมกับทักษะชีวิตของเด็กพิเศษนั้นๆ
การได้ใกล้ชิดกับ ธรรมชาติ
ทำให้
เด็กๆ รัก(ษ์) ธรรมชาติ
ธรรมชาติ เลย รัก(ษา)เด็กๆค่ะ
^..^ ขอร่วมชื่นชมด้วยคนค่ะ
ชีวิตพัฒนาได้จากกิจกรรมบำบัดตามธรรมชาติ..."การไม่อยู่ว่างหรือการทำงาน/กิจกรรมที่มีเป้าหมายคือชีวิต บันดาลสุข"
ขอบคุณมากครับคุณ Hanako