ไปมาแล้วรวมครั้งนี้ก็ 3 ครั้งแต่ทุกครั้งที่ไปก็มีความแตกต่าง..2 ครั้งแรกที่ไปกราบมีโอกาสแวะไปเพราะได้ไปอบรมที่เมืองเลย แต่ครั้งนี้ตั้งใจพาแม่และลูกสาวไปเพราะความประทับใจในครั้งเก่า ก็สนุกสนานดีกลับการวิ่งดุ๊กๆ อย่างรวดเร็วขึ้นไปไหว้พระธาตุศรีสองรัก พระธาตุแห่งศรัทธาของเมืองเลย เพราะไปถึงก็ใกล้เที่ยง อากาศร้อนมากแล้วกติกาที่นี่ห้ามใส่หมวก ห้ามใส่เสื้อผ้าสีแดง และให้ถอดรองเท้าขึ้น
...เราก็สงสัยว่าทำไมห้ามสีแดง (เอ๊ะ!เกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองปัจจุบันรึเปล่านะ กึ๋ย ..ยยย) ก็เลยไปอ่านประวัติก็พบว่า...ด้วยเหตุผลของพระธาตุที่เป็นแหล่งพระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อ เป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา และเมืองลาว สมัยพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชตกลงรวมกำลัง เพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ร่วมกันสร้างพระธาตุศรีสองรักเพื่อเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองราชอาณาจักร ฉะนั้นที่ห้ามสีแดง ก็เนื่องจากแปลความว่า สีแดง คือ สีของเลือด หรือสงครามค่ะ
นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ศิลปะธิเบต หัวนาคปรกสร้างด้วยศิลา องค์พระพุทธรูปสร้างด้วยทองสัมริด มีหน้าตักกว้าง 21 นิ้ว สูง 30 นิ้ว ทุกวันขึ้น 15 เดือน 6 ชาวบ้าน จะร่วมกันจัดงานสมโภชพระธาตุ โดยจะนำต้นผึ้ง มาถวายพระธาตุถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกปี พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี
ถ้ามีโอกาสก็น่าแวะไปค่ะ ไปง่ายเพราะอยู่ใจกลางเมืองเลย ขับผ่านแล้วใกล้ๆกันก็มีวัดที่สวยงามมากอีกแห่งที่แค่เลี้ยวรถออกมาจากพระธาตุไม่ถึงกิโลเมตรก็ถึงแล้ว คือ "วัดเนรมิต"ที่ตะลึงกับความสวยงามและศรัทธากับความสงบ เรียบง่าย
อีกอย่างที่พระธาตุมีร้านอาหารมะพร้าวแก้วแบบนิ่มที่อร่อยค่ะ แต่ถ้าเทียบราคาแล้วที่แก่งคุ้ดคู้ เชียงคานจะราคาถูกกว่าค่ะ
สวัสดีค่ะ