พ.27สายลับพระปกเกล้าฯ และ หัวหน้าวิทยุกระจายเสียงภาคไทยของ กองบัญชาการทหารสูงสุดพันธมิตร ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เล่ม 2 ตอน"ชนะแน่คือหนี"คำนำดังได้แถลงไว้ใน ภาคหนึ่ง ของ "พ.27" แล้วว่าเรื่องนี้เป็นชีวประวัติของข้าราชสำนักผู้หนึ่ง ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่พิเศษเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของพระราชวงศ์ ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2475-76 เขาใช้ชื่อรหัสว่า "พ.27" อันเป็นผลให้เขาต้องหนีออกจากเมืองไทยไปผจญชีวิตยาวนานอยู่ต่างแดน และได้เป็นบุคคลสำคัญในงานสงครามจิตวิทยาของฝ่ายสัมพันธมิตร อังกฤษ--อเมริกา ฯลฯ ตลอด 4 ปี ของสงครามเอเชียบูรพา. ฯลฯ.เนื่องจากเรื่องราวของ "พ.27" จะต้องถูกรักษาไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สำหรับการค้นคว้า ศึกษาของอนุชนรุ่นต่อๆไปจึงจำเป็นต้องบันทึกรายละเอียดไว้บางตอนที่สำคัญในประวัติชีวิตอันสับสนอลเวง......ของ "พ.27" จึงถูกแบ่งเป็นตอนๆ คือ "พ.27"ตอน "ชนะแน่คือหนี" และ "พ.27" ตอน "เกียรติศักดิ์รักของข้าฯ"ขณะนี้ "เกียรติศักดิ์รักของข้าฯ" กำลังขึ้นแท่นตีพิมพ์เสร็จแล้วหลายยก เพื่อรีบเสนอสนองความเมตตาปรานีของท่านผู้อ่านต่อไปด้วยความเคารพอย่างสูง จากผู้เขียน...." อ.ก. รุ่งแสง "พ. 27 เป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ ในรัชกาลที่ 7เมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่พสกนิกรไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระปก-เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเกรงว่าอาจจะมีพระราชวงศ์บางองค์ คิดต่อต้านการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงทรงโปรดให้จัดตั้งหน่วยสอดส่อง ความประพฤติของบรรดาเจ้าชายทุกองค์ และทูล เกล้า ฯ ถวายรายงานการเคลื่อนไหว...แต่การณ์กลับปรากฎว่า " พ. 27 " ได้พบแต่ปฏิกิริยาของพวกคณะปฏิวัติ ทะเลาะวิวาท เพื่อแย่งชิงอำนาจกันเอง ทั้งยังสร้างความสะเทือน พระราชหฤทัยนานาประการคอมมิวนิวส์ซึ่งเกาะกลุ่มกันอยู่แล้ว ก็ถูกส่งไปด้อมมองรอบๆวังไกลกังวล หัวหิน ซึ่ง " พ.27 " ก็ได้ทำหน้าที่ช่วยทหารรักษาวัง ในมาตราการถวายอารักขา ฯ จนมีพระราชหัตถ์เลขาทรง บันทึกว่า " กล้าและสามารถ ควร ได้รับความชมเชย. ปปร.บัดนี้ " พ.27" ได้เปิดเผยเรื่องราวที่ทูลเกล้าฯ ถวายซึ่งถือเป็นความลับสุดยอดใน ยุคนั้น...เพื่อเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์...เขาต้องหนีการจับกุมของรัฐบาล (พระยาพหล พลพยุหเสนา(พจน์ พหลโยธิน)ไปอยู่ต่างประเทศถึง 16 ปี ผจญชีวิตอย่างโชกโชน...เป็นหัวหน้าวิทยุที่..ที่ยอดเยี่ยม.. ในบรรดาวิทยุกระจายเสียงทุกสถานี...ของประเทศพันธมิตร ในสงครามโลกครั้งที่ 2ผมเห็นว่าการเรียนรู้ประวัติศาสตร์คือการเรียนรู้ปัจจุบัน และจะนำไปสู่การเดินไปในอนาคตอย่างมีทิศทาง จึงขอนำเสนองานเขียน ของ อ.ก.รุ่งแสง ที่เป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ที่ไม่มีในตำราเรียน สมควรที่คนรุ่นหลังจะได้รู้ เพื่อจะได้มีทิศทางที่ถูกต้อง ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติทุกท่านเข้าไปค้นหาความจริงได้ใน สายลับ พ.27 บทที่1 ณ บัดนี้ครับ ขอขอบพระคุณ คนโคก เป็นอย่างสูงที่นำผมไปสู่ข้อมูลนี้สายลับ พ.27ตอน" ชนะแน่คือหนี"# ชนะแน่ แน่นั้น คือหนีกิเลสหลายหลากมี มากล้นกรรมชั่วมั่วกาลี ละหมด สิ้นแลทางนิพพานพระค้น พบด้วย "การหนี"-๑-เรื่องคอมมิวนิสต์ในบุษบันบุรี (ชื่อสมมุติจังหวัดใกล้หัวหิน) จะเป็นประการใดต่อไป ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้สอบสวน และก็ไม่มีรายงานเกี่ยวกับนายดำรง หรือพรรคพวกของเขา จากเจ้าหน้าที่วังไกลกังวลแต่อย่างใดทางผู้ว่าราชการจังหวัด "บุษบันบุรี" ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก เรื่องการจับกุมดำเนินคดี เป็นคอมมิวนิวต์ ก็เป็นหน้าที่ของท่านเจ้าเมืองอยู่แล้ว เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ วารศัพท์ ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนข่าวเรื่องเที่ยวสงกรานต์(๒๔๗๖) เพราะไม่มีอะไรเป็นข่าว ควรเสนอภาพชกมวยที่ถ่ายไว้ จึงไม่ได้นำลงพิมพ์ ส่วนรูป นายดำรงและสมุนขณะนั่งดูมวย ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่สุดของงานที่ข้าพเจ้าและผู้ช่วยไปปฏิบัตินั้น เราก็ไม่ส่งไปให้พวกเขา เพราะเชื่อว่าในตอนบ่ายของวันที่ เราจาก"บุษบันบุรี" มา นายดำรงและลูกน้องก็จะต้องได้รู้ความจริงตลอดแล้วว่า เราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขาหน้าที่สำคัญอันดับแรกซึ่งข้าพเจ้า พ.27ได้รับบัญชาสั่งจากท่านเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ ผู้สำเร็จราชการสำนักพระราชวังตั้งแต่เริ่มปฏิบัติงาน คือการสอดส่องความประพฤติของพระราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...บรรดาเจ้าชายที่กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ว่าจะทรงประกอบกิจกรรมอันใดที่ขัดต่อระบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นของใหม่สำหรับเมืองไทย คำสั่งในเรื่องนี้ เป็นพระราชกระแสดำรัสสั่ง ซึ่งท่านผู้สำเร็จราชการสำนักพระราชวัง ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ราชการที่7 ทรงเป็นห่วงว่าบรรดาเจ้านายที่ไม่พอพระทัยในระบอบการปกครองที่เปลี่ยนใหม่...อาจคิด...หรือทำการใดๆที่ผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่ง พวกเจ้า ต้องอยู่เหนือการเมือง ถูกห้ามเล่นการเมืองจะสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรก็ไม่ได้ พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงมี พระราชประสงค์ให้พระราชวงศ์ก่อปฏิกิริยา อันจะเป็นชนวนให้เกิด"ช่องว่าง"ระหว่างราชบัลลังก์กับประชาชน เพราะระยะนั้นยุคที่ประชาชนถูกปลุกปั่นให้หลงเข้าใจว่า"ประชาธิปไตย ต้องเป็นศัตรูกับ"พวกเจ้า" ใครที่จงรักภักดีต่อ"พระมหากษัตริย์ จะถูกประนาม รอยัลลิส ซึ่งหมายถึงพวกนิยมกษัตริย์ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ ทั้งๆที่ประเทศสยามได้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบประเทศอังกฤษและอีกหลายประเทศในทวีปยุโรปอยู่แล้ว...การสอดส่องความประพฤติของเจ้านายตามพระราชประสงค์นี้ ผู้สำเร็จราชการสำนักพระราชวังกำชับให้ข้าพเจ้าสนใจเป็นพิเศษ และให้รายงานด่วน เมื่อมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น คำสั่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าหนักใจอยู่บ้างเพราะอาจมีบางกรณีที่ไม่อยากเขียน ให้การฟ้องร้องขี้น...ผู้ใกล้ชิดยุคลบาทพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ย่อมตระหนักว่าพระองค์ทรงยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยขนานแท้ของอังกฤษ ทรงมีพระราชปณิธานที่จะให้ประชากรไทยทั้งชาติ ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศเช่นเดียวกับอารยชาติประชาธิปไตยทั้งหลายในโลก .. ใครก็ตามที่พยายามจะเปลี่ยนแปรประชาธิปไตยของไทยให้กลายรูปเป็นอื่น เช่น เผด็จการ หรือ สังคมนิยมจัด หรือคอมมิวนิสต์ จึงเป็นการฝืนนิสัยรักความเป็นไทของชาวไทยอย่างรุนแรง ซึ่งคนไทยจะไม่สมัครใจยินยอมเป็นอันขาด เพราะสันติสุขจะไม่มีต่อไปในเมืองไทย.ระยะเวลา ๘0 วัน จากวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๖ อันเป็นวันปิดสภาผู้แทนราษฎร ตามข้อเสนอของพระยามโนปกรณ์--- นายกรัฐมนตรี จนถึงวันที่ ๒0 มิถุนายน ปีเดียวกัน ซึ่งเป็นวันที่คณะ พระยาพหลฯ ทำการปฏิวัติซ้อน และล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณ์ แล้วเปิดสภาขึ้นอีกนั้นเป็นระยะแห่งความตึงเครียดอย่างยิ่ง ในการเมืองระบอบประชาธิปไตยสมัยต้นของประเทศสยาม ทุกฝ่ายกำลังรอสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ด้วยความกระวนกระวาย นั่นก็คือ ฝ่ายหนึ่งกำลังรอ "จังหวะ" ที่จะลงมือ ทำรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาล พระยาพหลฯ อีกฝ่ายหนึ่งกำลังรอคอยความเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคาดหมายว่า จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ สถานการณ์ทั่วๆไปดูเงียบสงบ ความวุ่นวายในรัฐสภาก็ไม่มีแล้วแต่บรรยากาศในตอนนั้น จะเปรียบก็เช่นกระแสคลื่นใต้น้ำ ที่พัดแรงจัดอยู่ใต้คลื่นท้องน้ำ ส่วนพื้นผิวน้ำยังคงเลื่อนไหลไปเอื่อยๆจะเรียกว่าเป็น ความสงบชั่วคราวก่อนจะเกิดพายุ( Lull before the storm)ก็ไม่ผิด....รายงานข่าวระหว่างนี้ขอหยิบยกมากล่าวโดยสรุป เพียงเพื่อ การดำเนินเรื่องให้ติดต่อกันไปเท่านั้นพ.อ.พระยาทรงสุรเดช รองผู้บัญชาการทหารบก กับ ผู้บัญชาการทหารบก คือ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เกิดแตกร้าวกันอย่างรุนแรงด้วยสาเหตุหลายประการส่วนใหญ่ได้แก่การที่พระยาทรงฯ ใช้อำนาจ ที่ล่วงล้ำก้ำเกิน....พระยาพหลฯ รายงานข่าวของ "พ.27" ครั้งนั้นมีเรื่องสองพระยาผู้เป็นเพื่อนรักชนิดกอดคอกันตาย... ได้เกิดวิวาทกันขึ้นอย่างรุนแรงที่ห้องครัวของตึกที่ พระยาพหลฯ พักอยู่ในวังปารุสกวัน ขนาดถึงกับพระยาพหลฯ ถือมีดหมูวิ่งไล่ฟัน พระยาทรงฯ ด้วยความโกรธอย่างสุดขีด พระยาทรงฯ วิ่งหนีกันอุตลุต เข้าห้องโน้นออกห้องนี้จนหลุดรอดออกไปได้ เมื่อพระยาพหลฯซึ่งอุ้ยอ้าย กว่า วิ่งไล่ฟันเพื่อนไม่ทัน ก็ตะโกนด่า ตัดญาติ ขาดมิตรกับพระยาทรงฯนั่นเป็นปรากฏการณ์ของความแตกแยกระหว่าง 2 เสือ ผู้ยิ่งใหญ่ในคณะก่อการณ์ฯ ซึ่งแสดงความรู้สึกในใจให้ผู้อื่นประจักษ์ชัดเป็นครั้งแรกว่าคณะทหารได้งัดข้อกันเองแล้ว... ต่อจากนั้นหมากรุกการเมืองก็เดินแต้มสลับซับซ้อน โดยพวก ขุน, โคน, ม้า, (พวกเบี้ยและเม็ดไม่เก๊ยว)กระโดดข้าม เรือ พี่น้อง 2 ลำ ( พลเรือโท พระยาราชวังสัน รัฐมนตรีกลาโหม และ นาวาโท หลวงสินธุ์สงครามชัย..รักษาการณ์ผู้บัญชาการทหารเรือ)ไปได้อย่างสบาย พระยาพหลฯ และ หลวงพิบูลสงคราม ทำการปฏิวัติซ้อนยึดอำนาจการปกครองได้สำเร็จ พระยามโนปกรณ์นิติธาดานายกรัฐมนตรียื่นใบลาที่ได้เขียนเตรียมไว้แล้ว และขอออกไปอยู่เมืองปีนังอันเป็นดินแดนที่ท่านใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่หลายปี..จนถึงแก่อสัญญกรรมที่นั่น....เจ้าพระยาพิชัยญาติ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปเฝ้าพระปกเกล้าฯที่วังไกลกังวล และรับสนองพระบรมราชโองการให้เปิดสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 20 มิถุนายน 2476.พ.อ. พระยาพหลฯ ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแทนพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พ.ท.หลวงพิบูลสงครามเป็นรัฐมนตรีพ.อ.พระสิทธิเรืองเดชพล ก็ได้เป็นรัฐมนตรีชุดนี้ด้วย (ซึ่งต่อมาได้ถูกประหารชีวิตพร้อมกับผู้ต้องหา เป็นกบฏอีก 16 นาย เมื่อ พ.ศ. 2481)อย่างไรก็ตาม พระยาพหลฯ ขอเป็นนายกรัฐมนตรี เพียง 15 วัน อ้างว่าไม่มีความสามารถในด้านการเมือง และเมื่อครบกำหนดนั้นก็ได้ขอลาออกจริงๆ แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงขอให้อยู่ต่อไปเพราะทรงเชื่อว่าถึงอย่างไร พระยาพหลฯ ก็ยังมีความจงรักภักดีต่อพระองค์อยู่ ทั้งยังได้ทรงขอให้ รัฐสภาสนับสนุนพระราชประสงค์นี้ด้วยพระยาพหลฯ จึงคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป.....ความสำคัญของการปฏิวัติซ้อนครั้งนี้ คือผู้เป็นเจ้าของโครงการเศรษฐกิจปกเหลือง ได้ถูกเรียกกลับเข้าเมืองไทยทันที ครั้นแล้วรัฐบาลพระยาพหลฯก็ตั้งกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อทำการซักฟอก กรรมการคณะนี้มี หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ (ต่อมา ได้เป็น พลตรี กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์)พระยานลราชสุวัจน์ ธรรมาภิรัตวรสภาบดี (ทองดี วนิคพันธ์) กรรมการศาลฎีกาพระยาศรีสังกร( ตาด จารุรัตน์ ) กรรมการศาลฎีกา, เซอร์เรอเบิตโรเลลต์และ นายอาร์กียอง ที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงยุติธรรม 5 ท่าน ด้วยกัน......ผลของการซักฟอกปรากฎว่า เจ้าของโครงการเศรษฐกิจปกเหลืองไม่เป็นคอมมิวนิสต์ และต่อมาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลพระยาพหลฯ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2476 ในวันเดียวกันพระยาทรงสุรเดช ได้เดินทางออกจากเมืองไทยไปอยู่อินโดจีน ต่อมาอีก เพียง 11 วัน พระองค์เจ้าบวรเดช ก็กรีธาทัพจากนครราสีมา เข้าประชิดพระนคร เพื่อโค่นรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอันบริสุทธิ์และเพื่อกำจัดลัทธิคอมมิวนิสต์...ขอรวบรัดตัดความ ว่ารัฐบาลพระยาพหลฯ ที่พึ่งเข้าถือบังเหียนใหม่นี้ได้รับการวิพากวิจารณ์ว่า อาจปล่อย ให้ประเทศชาติ ถูกชักพาเข้าไป"ค่ายคอมมิวนิวสต์" ความไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีบางคน ในคณะรัฐบาลพระยาพหลฯได้ถูก กล่าวขวัญอย่างเปิดเผยอยู่ทั่วไป พร้อมกับกลิ่นไอของการปฏิวัติซ้อนซึ่งหน่วยงาน "พ.27" ได้สืบสาวข่าวนี้ และพบว่าภานในพระนครหลวงก็มีการจับกลุ่มคิดการจะโค่นล้มรัฐบาล พระยาพหลฯโดยมีนายทหารผู้ใหญ่ในหลายกองพันเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ย่อมหมายความว่าจะมีการใช้กำลังทหารของชาติ เข้าแย่งชิงอำนาจในพวกเดียวกันอีก ข่าวนี้ยังจะต้องสืบสาวราวเรื่องให้แน่ชัด ก่อนที่จะทำรายงานขึ้นทูลกล่าวถวาย...วันที่ 20 กันยายน 2476 ผู้สำเร็จราชการสำนักราชวังเรียกข้าพเจ้าไปพบ และเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกับท่านว่า " เด็กของเจ้าคุณเก่งมาก มีความสามารถรู้เรื่องราวต่างๆ ถูกต้องดี แต่ดูเหมือนจะรู้แต่เรื่องผิวๆเผินๆที่ลึกๆซึ้งๆ ดูจะไม่รู้.....ท่านผู้สำเร็จราชการฯ เชิญพระราชกระแสมาเล่าแล้วถาม"มีเรื่องอะไรรึ...ที่ท่านรับสั่งว่า ลึกๆซึ้งๆ ?" "มีขอรับ" ข้าพเจ้าตอบโต้โดยฉับพลัน จนทำให้ท่านผู้ถามประหลาดใจขและรีบซักต่อ"เรื่องอะไร ทำไมไม่รายงาน?" "ขอให้กระผมเดินทางไปโคราชก่อน"ข้าพเจ้าตอบด้วยความมั่นใจว่า เรื่องที่มีพระราชดำรัสถึงนั้น ต้องเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว..."ไปทำไม โคราช?" ท่านผู้สำเร็จถามเสียงดัง "มีเรื่องอะไรที่นั่น รึ ?"ข้าพเจ้าไม่กล้าตอบ เพราะมีความจำเป็นอยู่ข้อหนึ่ง จึงได้แต่ยืนยัน"ขอให้ผมไปโคราช ไปค้างเพียงคืนเดียวเท่านั้น แล้วกระผมจะกลับมารายงานทุกสิ่งทุกอย่างของ เรื่อง ลึกๆซึ้งๆ ตามพระราชกระแส""มันเรื่องลึกลับอะไรกันนะ" ท่านเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์...บ่นแต่ก็ไม่คาดคั้นต่อไป เพียงแต่สั่งกำชับว่า"อยากไปก็ไป แล้วต้องให้ได้เรื่องนะ" "พรุ่งนี้เช้า กระผมจะออกเดินทาง"พระยามโนปกรนิติธาดาเจ้าพระยาพิชัยญาตืพ.อ.เจ้าพระยาสุรเดชกรมหมื่นพงษ์ประพันธ์
อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะครับ มีไม่ต่ำกว่า 25 ตอน |
เรื่องราวชิงรักหักสวาทบ้านเมืองแบบนี้เป็นเรื่องที่พี่เองเคยได้ยินคุณแม่เล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่าผู้ใหย่ทางแม่จะเป็นคนละฝ่ายกับผู้ใหญ่ทางคุณพ่อ ดังนั้นคุณแม่ก็จะแอบเล่าเวลาฟังเหมือนฟังนิยาย ยุคนั้นสงครามในร้อนระอุ พลิกผันตลอดเวลา แต่พี่ก็ชอบพ.27นะและเมื่อมาอ่านบทกลอนบันทึกนี้ทำให้เข้าใจว่าคนโบราณนั้นเขาศึกษาหลักธรรมคำสอนกันแน่นแฟ้นลึกซึ้งกว่าคนสมัยนี้นะคะ
ตอน
" ชนะแน่คือหนี"
# ชนะแน่ แน่นั้น คือหนี
กิเลสหลายหลากมี มากล้น
กรรมชั่วมั่วกาลี ละหมด สิ้นแล
ทางนิพพานพระค้น พบด้วย "การหนี"
สายลับ พ.27
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะ ดีจังค่ะ ไม่เคยรู้เลย
จะติดตามตอนต่อไปนะคะ
สบายดีนะคะ
ไม่เคยรู้ค่ะ
คงต้องติดตามอ่านอีกค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ ชนะแน่คือหนี...น่าติดตามมากครับ
เชิญอ่านบทที่ 2 ได้ครับ
ตามมาติดตามอ่านค่ะ...ไม่เคยมีความรู้มาก่อนเลย..ขอบคุณค่ะที่แบ่งปัน
อยากให้ลงคติพจน์ ของอก.รุ่งแสง บ้างนะคะ แบ่งปันสำหรับคนที่สนใจบทกลอน คะ