ทุกคนเกร็งๆ ว่าผมจะบรรยายแบบป้อนเนื้อหาวิชาการหรือเทคนิคยากๆ เมื่อรู้ว่า ดร.ป๊อป จะมาเป็นวิทยากรเรื่อง "Cognitive and Leisure Performance" ณ รพ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 53 เวลา 9.30-16.30 น.
แต่หลายคนสะท้อนความรู้สึกหลังจบการบรรยายว่า "ผิดคาด" เพราะผมจัดกิจกรรมให้ผู้ร่วมประชุมเรียนรู้อย่างใคร่ครวญ (จิตตปัญญาศึกษา), กิจกรรมทบทวนโจทย์แต่ละประเด็นด้วยตนเองและจับคู่-กลุ่มคิดและนำเสนอวิธีการจัดกิจกรรมจากสื่อที่เลือกมาเพียง 6 อย่าง ได้แก่ ลูกกลมเสียบหลัก แผ่นไม้จับคู่ผลไม้ ลูกบอลยางนูนสัมผัส กระดานล้อเลื่อน กระดาษกับสีเทียน และ CDs (Clip ดนตรีผ่อนคลาย, กิจกรรมบำบัดทั่วไป, กิจกรรมบำบัดความล้า, ศิลปะบำบัดและกิจกรรมบำบัด) พร้อมมีส่วนร่วมทำกิจกรรมที่คิดเองทำเองจนแน่ใจว่าน่าจะนำไปพัฒนาเด็กพิเศษได้
เนื้อหาที่บรรยาย ประกอบด้วย
1. Cognitive Performance คือ ความสามารถในการมีความรู้ความเข้าใจเพื่อทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต
2. Leisure Performance คือ ความสามารถในการมีเวลาว่างและมีตัวเลือกกิจกรรมยามว่างเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต
3. Cognitive and Leisure Performance คือ ความสามารถในการรับรู้ เรียนรู้ และสะท้อนความรู้สึกและความคิดอย่างอิสระและใช้สิ่งต่างๆรอบตัวในการใช้เวลาว่างและทำกิจกรรมยามว่างที่มีคุณค่า มีเป้าหมาย และมีความสุข ขณะดำเนินชีวิตจากการดูแลตนเอง การศึกษา การพักผ่อน การนอน การเล่น การทำงาน และการเข้าสังคม
4. ข้อคิดในการจัดรูปแบบการเล่นและการใช้เวลาว่างในเด็กพิเศษ
5. การสร้างระบบเครือข่ายช่วยเหลือเด็กพิเศษที่ไม่ทำให้งานหนักมากเกินไปสำหรับบุคลาการทางการแพทย์และการศึกษา อาจค่อยๆพัฒนาให้เห็นเป็นรูปธรรมและมีบทบาทของผู้เกี่ยวข้องที่ชัดเจน เช่น
ระดับ A เด็กต้องการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองได้ (ช่วยเหลือมากกว่า 50%) จากทีมทางการแพทย์ประจำอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์พร้อมติดตามผลการให้ความรู้และการฝึกที่บ้าน/โรงเรียนทุกวัน
ระดับ B เด็กพัฒนามาจากระดับ A หรือเด็กต้องการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองได้ดีขึ้น (ช่วยเหลือน้อยกว่า 30%) แต่ผู้ปกครอง ครู นักกิจกรรมบำบัด นักฝึกพูด นักศิลปะบำบัด นักดนตรีบำบัด นักจิตวิทยาคลินิก ร่วมกันจัดโปรแกรมการเล่นตามพัฒนาการ การเรียนรู้ การทำงานบ้าน และการทำกิจกรรมยามว่างที่หลากหลาย ที่บ้านและโรงเรียนต่อเนื่อง 6-12 สัปดาห์ (นัดติดตามผลจากการให้โปรแกมที่คลินิก 1-2 ชม./สัปดาห์) แต่ยังไม่ปรับสื่อหรือรายละเอียดจนกว่าจะสิ้นสุดโปรแกรมที่วางแผนและออกแบบตั้งแต่แรก
ระดับ C เด็กพัฒนามาจากระดับ C หรือเด็กต้องการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองได้ดีขึ้น (ช่วยเหลือน้อยกว่า 10%) แต่ผู้ปกครอง ครู นักกิจกรรมบำบัด นักฝึกพูด นักศิลปะบำบัด นักดนตรีบำบัด นักจิตวิทยาคลินิก ร่วมกันจัดโปรแกรมการเข้าสังคมและเป็นพลเมืองดีในสถานการณ์ชีวิตที่หลากหลาย เกิดความสมดุลระหว่างกิจกรรมที่ทำประจำกับกิจกรรมยามว่าง เน้นการให้เทคนิคปรับพฤติกรรมจากนักจิตวิทยาคลินิกในกรณีเด็กยังมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในสถานการณ์ชีวิตจริงๆ เน้นการให้เทคนิคการประสมประสานการรับความรู้สึกกับการทำกิจกรรมที่ออกแรง (เล่นอิสระ เล่นเกมส์ เล่นกีฬา เล่นแบบคิด และเล่นสร้างสรรค์) กับการผ่อนคลายจากนักกิจกรรมบำบัดในกรณีเด็กมีปัญหาการประสมประสานการรับความรู้สึกในสถานการณ์ชีวิตจริงๆ
ข้อคิดสุดท้าย "ผู้ช่วยเหลือเด็กพิเศษทุกคนควรเข้าใจการพัฒนาของเด็กด้วย Brain to Brain และ Heart to Heart" อย่านำการฝึกด้วยเทคนิคตามแฟชั่นจนเด็กมีตารางชีวิตที่ไม่ว่างจนเกินพอดี ไม่มีโอกาสทบทวนตนเองอย่างอิสระทั้งตัวเด็กเองและผู้ช่วยเหลือ"
ผมลืมหนึ่งประเด็นสำคัญ...อยากให้ผู้ปกครอง ครู ผู้บำบัด และผู้ช่วยเหลือเด็กพิเศษทั้งหลาย ลองทบทวนความคิดและเปิดใจรับความรู้เรื่องเซลล์กระจกเงาเพื่อนำไปจัดกิจกรรมบำบัดพัฒนาชีวิตได้จริง
ลองอ่านที่
http://gotoknow.org/blog/wijcha/162175
http://learners.in.th/blog/goodthingsforteacher/131167
http://www.bangkokhealth.com/index.php/2009-01-19-02-47-42/246-2009-01-19-09-21-08
ศิลปะคือส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกคนมีสิทธิ์เลือกและหากิจกรรมที่ท้าทายและให้ความสุขแก่ชีวิตสักปีละครั้ง ลองทบทวนว่านอกจากศิลปะแล้วท่านสนใจและมีความสุขในการคิดใช้เวลาว่างอย่างไร ถ้าพบว่าศิลปะคือหลายๆส่วนของคุณ ลองคิดขั้นตอนและมีส่วนร่วมนำสื่อศิลปะมาเป็นกิจกรรมบำบัด หากกิจกรรมบำบัดด้วยสื่อศิลปะไม่พัฒนาคุณภาพชีวิตมากนัก ลองพิจารณาแนวทางเลือกหนึ่งเช่น ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด และอื่นๆ ที่เสริมกับกระบวนการใช้กิจกรรมบำบัดพัฒนาชีวิตได้