ในช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรสุโขทัย ล้านนา และล้านช้าง ยังมีดินแดนทางภาคใต้ของไทยที่รุ่งเรืองขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน และสืบทอดวัฒนธรรมความเป็นอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และสุราษฏร์ธานี
ดินแดนดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากจีนและประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม มีทั้งที่เป็นรัฐอิสระและเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรขนาดใหญ่ โดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง และสันนิษฐานว่ามีการติดต่อค้าขายกับชาวอาหรับ ดังปรากฏหลักฐานเป็นเหรียญเงินอาหรับของกาหลิบอัลมันซูร์แห่งราชวงศ์แอนบาซาอิต ซึ่งพบที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฏร์ธานี นอกจากนี้ ยังพบเหรียญทองคำจารึกอักษรอาหรับราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ที่จังหวัดปัตตานี รวมทั้งในรัฐกลันตันและรัฐเคดาห์ของประเทศมาเลเซีย
หลักฐานการใช้เงินตราของดินแดนทางภาคใต้มิได้ยุติลงเพียงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เท่านั้น เนื่องจากพบว่าตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการผลิตและใช้ “อีแปะดีบุก” หรือที่ชาวใต้เรียกกันว่า “เบี้ย” ด้วย เชื่อว่าเกิดขึ้นเพราะความต้องการใช้เงินปลีกย่อยในเหมืองหรือในอาณาเขตเมืองและผลิตตามที่เจ้าเมืองอนุญาต อีแปะดีบุกที่เมืองต่างๆ ผลิตขึ้น ได้แก่ อีแปะสงขลา อีแปะพัทลุง อีแปะปากพนัง อีแปะปัตตานี อีแปะภูเก็ต และอีแปะสุราษฏร์ธานี ( กาญจนดิษฐ์ ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับให้ใช้เฉพาะในท้องถิ่น เมื่อจะนำไปชำระภาษีอากรให้กับรัฐ ราษฎรจะต้องนำอีแปะเหล่านี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราของรัฐก่อน
อีแปะส่วนมากทำด้วยตะกั่วผสมดีบุก ซึ่งเป็นโลหะที่พบมากทางภาคใต้ของไทย มีจารึกอักษรไทย จีน หรืออาหรับ ลักษณะเหมือนเงินเหรียญของจีน ทำให้เชื่อกันว่าชาวจีนทางภาคใต้เป็นผู้ริเริ่มทำขึ้นโดยใช้เบ้าที่แกะเป็นรูปคล้ายกิ่งไม้
อีแปะถูกใช้แทนเงินตราปลีกย่อยเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งเงินตราที่รัฐผลิตเข้าไปถึงดินแดนทางภาคใต้มากเพียงพอแล้ว จึงได้เลิกใช้อีแปะไปในที่สุด
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย เพื่อนนักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
สวัสดีค่ะ สบายดีนะคะ
อ้ะ ไม่มี อีแปะพังงา เลย ... ขอบคุณความรู้ดีๆ นี้ค่ะ