ในประการแรก สิทธิทางการศึกษาเป็นสิทธิมนุษยชน ดังนั้น โรงเรียนจะปฏิเสธการเข้าเรียนของเด็กมิได้เลย จึงแปลกใจมากที่คุณบอกว่า “รร.รัฐบาลไม่รับเด็กที่เป็นลูกครึ่งเลยค่ะ”
ในประการที่สอง บุตรของคุณมีสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดา เป็นนายกรัฐมนตรียังได้เลยค่ะ ยืนยันค่ะว่า “น้องสามารถถือบัตรประชาชนเหมือนคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์” สามารถเข้าเรียนโรงเรียน รัฐบาล มหาวิทยาลัยรัฐ อย่างธรรมศาสตร์ จุฬาฯ จบออกมารับราชการไทยได้ค่ะ
ในประการที่สาม ยืนยันว่า “น้องสามารถใช้สองสัญชาติได้” ค่ะ สามารถถือหนังสือเดินทางตามกฎหมายไทยได้ค่ะ และถ้ามีการแจ้งเกิดต่อสถานกงสุลอเมริกัน ก็คงมีหนังสือเดินทางได้เช่นกันค่ะ
ในประการที่สี่ การสละสัญชาติไทยเป็นสิทธิค่ะ ไม่ใช่หน้าที่ จะสละหรือไม่ก็ได้ค่ะ
ในประการที่ห้า หากสามีถือวีซ่าครอบครัว ก็ร้องขอให้บันทึกชื่อในทะเบียนบ้านประเภทคนอยู่ชั่วคราวได้ (ท.ร.๑๓) ไม่ต้องรอมีสัญชาติไทย และการมีชื่อใน ท.ร.๑๓ เป็นเงื่อนไขในการร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทยค่ะ
ในประการที่หก สามีสัญชาติอเมริกันซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายจะร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทยได้ เมื่อมีคุณสมบัติครบ ๕ ประการ กล่าวคือ (๑) บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายไทยและกฎหมายอเมริกัน (๒) มีความประพฤติดี (๓) มีอาชีพเป็นหลักฐาน (๔) มีชื่อในทะเบียนบ้านครบ ๕ ปี กล่าวคือ มีภูมิลำเนาในประเทศไทย และ (๕) พูดและฟังภาษาไทยได้ เว้นแต่เป็นคนต่างด้าวที่ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศไทย จะใช้คุณสมบัติเพียง ๓ ประการ กล่าวคือ จากข้อ ๑-๓ หากเป็นสามีสัญชาติอเมริกันจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายกับหญิงสัญชาติไทย
ได้เข้าไปอ่านกระทู้ ตามที่อาจารย์แนะนำผ่าน facebook ครับ
อาจารย์ตอบได้กระจ่าง และสื่อสารด้วยภาษาที่อ่านง่าย เชื่อว่าแม้แต่คนที่ไม่ได้เรียนกฎหมายมาก็เข้าใจได้ดีครับ ครบถ้วนทุกประเด็น
เรื่องการถือสองสัญชาติ น่าเห็นใจประชาชนทั่วไปที่ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายสัญชาติ
ซึ่งได้รับข้อมูลผิดๆ บิดเบือนจาก จนท.รัฐมาตลอด ว่าต้องสละสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง ถือควบคู่กันไมได้
ทั้งที่ตามจริง เป็นอย่างที่อาจารย์กล่าวไว้ ว่าพ.ร.บ.สัญชาติของเราไม่ได้ห้าม เพียงแค่ไม่ให้ไปรับใบต่างด้าวเท่านั้น มิเช่นนั้นจะเสียสัญชาติไทย
จำได้ดีช่วงที่อาจารย์สอนมาตรานี้ ในตอนที่ตัวผมเป็นนักศึกษา เสียงอาจารย์ยังติดหู
อาจารย์บอกว่า กรณีนี้ ผู้ถือสองสัญชาติต้องไปรับใบต่างด้าวมาเองเท่านั้น เค้าจึงจะเสียสัญชาติไทย ถ้าเค้าไม่ไปรับ ใครจะไปบังคับให้เค้าไป หรือไปรับแทนแล้วเอามาส่งให้ แบบนี้ไม่ได้
จนถึงวันนี้ผ่านไปสิบปีพอดี ผมยังจำบทเรียนคราวนั้นได้ขึ้นใจครับ
กลับเข้าสู่ประเด็นเดิม เรื่องสัญชาติโดยการสมรส จากประสบการณ์ของผม ทราบว่าคนไทยมากมายยังหลงประเด็นตรงที่ว่า
ถ้าได้สัญชาติของสามี/ภริยาต่างชาติของตนแล้ว จะเสียสัญชาติไทย หรือจ้องสละสัญชาติไทยมั้ย
ซึ่งตัวผมในฐานะทนาย ได้ยืนยันไปว่าไม่ต้อง สามารถถือสองสัญชาติคู่กันได้
เว้นแต่กรณีที่กฎหมายสัญชาติของคู่สมรสต่างชาตินั้นบังคับว่า ถ้าได้สัญชาติของประเทศเค้าผ่านการสมรส จะต้องสละสัญชาติเดิม อันนี้เป็นอีกกรณีนึง
แต่กฎหมายของเราไม่มีข้อห้าม แม้แต่หญิงต่างด้าวที่ได้สัญชาติไทยตามสามีคนไทย ยังสามารถคงสัญชาติเดิมของตนเองไว้ได้เลย
เรื่องสัญชาติของบุตรหญิงไทยกับชายต่างด้าว ตรงนี้ผมติดใจประเด็นนึง ซึ่งจริงๆ แล้วอยู่นอกเหนือสิ่งที่ผู้ถาม แต่ขออนุญาตพูดถึงตรงนี้เพราะผมมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติทางสัญชาติที่รัฐมีต่อประชาชน
พออ่านถึงตรงที่อาจารย์บอกว่ารับราชการได้ ทำให้นึกถึงกฎของกองทัพ ที่วางหลักว่า ผู้ที่จะเป็นทหาร บิดาและมารดาต้องมีสัญชาติไทย
เท่าที่ทราบทางกองทัพยังไม่ยอมแก้กฎนี้ แม้แต้บุตรของชายไทยที่เกิดกับหญิงต่างด้าว ยังถูกห้ามไม่ให้เป็นทหารเลยครับ ทั้งที่จะว่าไป สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิจจากบิดานั้น มีเสถียรภาพที่สุด
แต่กองทัพก็ยังไม่ยอม ถ้าแม่เป็นหญิงต่างชาติแล้ว ลูกก็หมดสิทธิเป็นทหาร (ทั้งที่ตอนเกณฑ์ทหาร ก็ถูกบังคับให้เกณฑ์ด้วย)
นอกจากชายไทยผู้เป็นบิดา จะเป็นทหารสัญญาบัตร กรณีนี้ลูกรับราชการทหารได้โดยไม่ต้องพิจารณาต่อไปว่าแม่มีสัญชาติใด (ผมมองว่าไม่เป็นธรรม กองทัพใช้หลักอะไรในการออกข้อบังคับเช่นนี้)
น่าแปลกใจมาก เพราะอย่างที่อาจารย์กล่าว ว่าขนาดเป็นนายกรัฐมนตรี ยังเป็นได้
เป็นผู้แทนราษฎรได้ เพราะถือเป็นสัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสืบสายโลหิตซึ่งมีเสถียรภาพสูงที่สุด
ขออนุญาตถามอาจารย์นอกเรื่องอีกนิดครับ ผมสงสัยว่า คนไทยที่มีมารดาไทย พ่อต่างด้าว เกิดก่อนปี 35 แล้วเพิ่งมาได้สัญชาติไทยย้อนหลัง ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ ปี 35 ฉบับแรกนั้น
แบบนี้ถือได้ว่ามีสัญชาติไทยโดยการเกิดย้อนหลังไปแต่ต้นเลยใช่มั้ยครับ บุคคลเหล่านี้สามารถสมัครรับเลือกเป็นผู้แทนฯได้ใช่หรือไม่
ประเด็นสุดท้ายก่อนจบจดหมาย ผมขอยืนยันตรงนี้อีกครั้งว่า ยังไม่เห็นด้วยกับตัวบทใหม่ของ พ.ร.บ.สัญชาติ ว่าด้วยการได้สัญชาติไทย ของชายต่างด้าว สามีของหญิงไทยอยู่นั่นเอง
แม้กฎหมายใหม่จะให้สิทธิในการแปลงสัญชาติของชายต่างด้าว สามีของหญิงไทยให้เป็นไทยได้ง่ายกว่ากรณีปกติ แต่ก็ยังไม่ถือว่านี่เป็นสัญชาติโดยการสมรส ดังเช่นกรณีภริยาต่างด้าวของชายไทยได้รับ
ตามความรู้สึกผม สัญชาติที่ได้โดยมาตรา 9 ดีกว่าสัญชาติโดยการแปลงสัญชาติ เพราะอย่างที่กล่าว กฎหมายไทยไม่บังคับว่าต้องสละสัญชาติเดิม
แต่ในกรณีแปลงชาติ ชายต่างด้าวนั้นไม่อาจคงสัญชาติเดิมของตนไว้ได้อีกต่อไป ทั้งเงื่อนไขในการได้สัญชาติก็ยากกว่า
ไม่ทราบเจตนารมณ์ของกฎหมายใหม่เหมือนกัน
หรือต้องการบังคับกลายๆ ว่าชายต่างด้าวที่มาตั้งครอบครัวในประเทศไทย จะต้องถือสัญชาติไทยสัญชาติเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นหลักประกันต่อความมั่นคงของรัฐ
ตามที่หลายคนเชื่อกันไปเองว่า การให้สัญชาติไทยแก่ชายต่างด้าว อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคง แม้ชายนั้นจะเป็นสามีของหญิงไทยก็ตาม
ทำให้มาตรา 9 ไม่ได้รับการแก้ไขจนถึงทุกวันนี้ และในวันนี้ยังมีสุภาพสตรีไทยมากมาย ที่เข้าใจผิดคิดว่าถ้าแต่งงานกับชายต่างชาติแล้ว สามารถสืบสัญชาติไทยของตนให้สามี ผ่านการสมรสได้ด้วย
ผมตอบพวกเธอไปด้วยความหดหู่ว่า กฎหมายบ้านเราให้แต่กรณีภรรยาต่างชาติของชายไทย สามีต่างชาติของหญิงไทยไม่มีสิทธิ ทุกคนพอฟังก็แปลกใจ ถามกลับว่าทำไมเป็นแบบนั้น
ผมตอบว่าไม่ทราบเหมือนกัน ทราบแค่ว่ามันไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงจริงๆ