นางอรุณี โสตถิวนิชย์วงศ์ , นางสาวนิตยา สุริยพันธ์
Motivation Interviewing ช่วยให้ผู้ป่วยจิตเภทมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้น รู้จักตั้งเป้าหมายต่อความร่วมมือในการรับประทานยา และมีพฤติกรรมรับประทานยาอย่างต่อเนื่องหลังจำหน่าย ป้องกันการป่วยซ้ำได้
โรคจิตเภทเป็นโรคที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของโรงพยาบาลศรีธัญญา และมีอัตราการกำเริบได้สูงถึงร้อยละ 50-70 พบว่าการขาดความร่วมมือในการรักษา และรับประทานยาไม่ต่อเนื่องของผู้ป่วยที่บ้านเป็นสาเหตุหนึ่งของการกลับมารักษาซ้ำในโรงพยาบาล ผู้ศึกษาจึงนำแนวคิดการใช้การปรึกษาโดยเสริมสร้างแรงจูงใจ Motivation Interviewing ซึ่งเป็นรูปแบบการช่วยเหลือด้านจิตใจ โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางโดยเน้นผู้ป่วยพูดข้อความจูงใจตนเอง โดยใช้ counseling Skill การถามคำถามปลายเปิด การชื่นชมยืนยันรับรอง การฟังอย่างเข้าใจและสะท้อนความ และการสรุปความ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองร่วมมือในการรับประทานยา เพื่อช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจให้ผู้ป่วยเกิดความตระหนักเรื่องการเจ็บป่วยของตนเองและเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมร่วมมือในการรับประทานยา สามารถดูแลตนเองที่บ้านได้และกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ชุมชน สังคมได้อย่างมีความสุข และลดปัญหาการกลับมาป่วยซ้ำในโรงพยาบาล
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษากึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยจิตเภททั่วไปหอผู้ป่วยเร่งรัดบำบัดชาย 20 ราย คัดเลือกผู้ป่วยที่มีประวัติขาดการรักษา รับประทานยาไม่ต่อเนื่อง มีอาการทางจิตสงบ ไม่มีปัญหาการได้ยิน การพูด เและมีคะแนนการประเมินสภาพจิต (BPRS) < 36 คะแนน โดยยินดีให้ความร่วมมือในการศึกษาครั้งนี้โดยความสมัครใจ
1.เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการศึกษา คือ โปรแกรมการให้การปรึกษาผู้ป่วยจิตเภทเพื่อร่วมมือในการรับประทานยาโดยใช้ Motivation Interviewing โดยได้แนวคิดของ Miller โดยนำขั้นตอนการสร้างแรงจูงใจเพื่อความร่วมมือในการรับประทายนยาในผู้ป่วยจิตเภทที่พัฒนาขึ้นโดยดรุณี ภู่ขาว มาประยุกต์ใช้ในการให้การปรึกษาแบบกลุ่ม ประกอบด้วยการให้การปรึกษาแบบกลุ่ม 3 ครั้ง
การให้การปรึกษาแบบกลุ่มครั้งที่ 1
วัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างสัมพันธ์ภาพที่ดีกับผู้ป่วย
2) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดความตระหนักถึงปัญหาการไม่ร่วมมือในการรับประทานยาต่อเนื่อง
การให้การปรึกษาแบบกลุ่มครั้งที่ 2
วัตถุประสงค์ 1) เพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยไว้
2) สำรวจความก้าวหน้าของแรงจูงใจผู้ป่วยในการเปลี่ยนแปลง
3) ช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นความลังเลใจและความขัดแย้งในตนเอง
4) ค้นหาและแก้ไขอุปสรรคต่างๆที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
การให้การปรึกษาแบบกลุ่มครั้งที่ 3
วัตถุประสงค์ 1) สำรวจความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
2) ให้ผู้ป่วยลงมือปฏิบัติตามแผนการเปลี่ยนแปลงที่กำหนดไว้
3) ชี้ให้ตระหนักถึงสถานการณ์เสี่ยงต่อการไม่ร่วมมือในการไม่รับประทานยา
2.เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลและประเมินผลการทดลอง ประกอบด้วย
2.1 แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา ศาสนา
2.2 แบบบันทึกพฤติกรรมการร่วมมือในการรับประทานยา
2.3 แบบติดตามเยี่ยมบ้านทางโทรศัพท์หลังจำหน่าย
3. ขั้นดำเนินการทดลอง ผู้ศึกษาดำเนินการทดลอง แบ่งผู้ป่วยเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 10 ราย กลุ่มทดลองได้รับกลุ่มบำบัดตามปกติและให้การปรึกษาแบบกลุ่มโดยใช้ Motivation Interviewing จำนวน 3 ครั้งๆ ละ 1 ชั่วโมง โดยใช้ระยะเวลาใน 1 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับกลุ่มบำบัดตามปกติ
ผลการศึกษาระหว่างอยู่ในโรงพยาบาลกลุ่มทดลองมีแรงจูงใจต่อความร่วมมือในการรับประทานยามากกว่ากลุ่มควบคุม และผลการติดตามเยี่ยมบ้านทางโทรศัพท์หลังจำหน่าย7 วัน 1 เดือน และ 3 เดือน พบว่ากลุ่มทดลองมีพฤติกรรมในการรับประทานยาโดยไม่ต้องกระตุ้นเตือน มีอาการทางจิตสงบ มีความสามารถในการดูแลตนเอง ช่วยทำงานบ้าน และลดการกลับมารักษาซ้ำใน 28 วัน ได้
น่าสนใจมากเชียวค่ะ ชื่อเรื่อง และเนื้อหา ขอบคุณมากนะคะ