พระพุทธรูปปางประทานพร-นั่ง
ภาพจาก
http://www.siamamulet.net/Ting_sathu/images/Ting_sathu-kfujm32965.jpg
ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้คำว่าซื้อกับ “พระพุทธรูป” ได้หรือไม่
แต่วันนั้นผมไปซื้อจริงๆครับ คือ เอาเงินให้คนขาย
แล้วคนขายก็ส่งสินค้า (พระพุทธรูป) ให้กับเรา
ผมจึงคิดว่าน่าจะเป็นการใช้คำที่เหมาะสมกว่าคำว่า “เช่า” ครับ
การไปซื้อพระพุทธรูปในเหตุการณ์ในวันนั้นผมได้เรียนรู้และต่อยอดเชื่อมโยงความรู้หลายอย่าง
และมีความประทับใจอยากจะเล่าให้ฟังดังนี้ครับ คือ เมื่อ 2
วันก่อนผมได้พาแม่และน้องของภรรยาไปดูพระพุทธรูปเพื่อที่จะนำไปทำบุญในการอุทิศส่วนกุศลให้พ่อและพี่ของภรรยาที่ล่วงลับไปแล้ว
ไปยังวัดบ้านเกิดของพ่อภรรยา
ตอนที่เตรียมตัวไปดูก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรมาก
และยังไม่รู้ว่าต้องใข้พระพุทธรูปปางอะไร
รู้เพียงแต่ว่าต้องนำไปให้เหมาะและถูกต้องตามประเพณีตามวันเกิดของผู้ที่เราจะอุทิศส่วนกุศลไปให้
พระพุทธรูปปางสมาธิ
ภาพจาก
http://mantanasin.igetweb.com/index.php?mo=18&display=view_single&pid=363680
เราไปดูกันที่ร้านสังฆภัณฑ์ ภายในย่านตลาดรังสิต เมื่อไปถึงร้าน
เจ้าของร้านก็ให้การต้อนรับ
ด้วยอัธยาศัยที่เป็นการเองและให้ข้อมูลเป็นอย่างดี
ผมเริ่มต้นถามว่าถ้าจะทำบุญโดยการสร้างพระให้แก่คนที่ล่วงลับไปแล้ว 2
คน ที่มีวันเกิดไม่ตรงกันต้องใช้พระปางอะไร
เจ้าของร้านตอบมาว่าถ้าเราสร้างให้ตรงตามปางก็จะทำลำบากเพราะมีทั้งพระนั่งและพระยืน
แต่ที่ส่วนใหญ่ที่นิยมและสร้างได้ทุกกรณีจะเป็นปางพระนั่ง
ซึ่งก็มีทั้งปางประทานพร ปางสะดุ้งมาร และปางสมาธิ
จากนั้นเจ้าของร้านก็พาไปดูพระพุทธรูปขนาดต่างๆที่มีอยู่ในร้าน
ตั้งแต่ขนาดหน้าตัก 20-40 นิ้ว
และได้อธิบายถึงเรื่องวัสดุที่ใช้หล่อพระพทธรูปส่วนใหญ่จะมี 2 แบบ คือ
หล่อด้วยทองเหลือง กับแบบที่หล่อด้วยอัลลอยด์
โดยแบบที่หล่อด้วยทองเหลืองจะมีน้ำหนักมากกว่าและราคาก็แพงกว่า
ผมได้ถามถึงพระพุทธรูปที่หล่อด้วยสัมฤทธิ์ว่า ยังมีคนสร้างอยู่หรือไม่
เจ้าของร้านตอบว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไม่คนสร้างเพราะวัสดุหายากและราคาแพง
สู้เอาเงินไปทำบุญเพื่อประโยชน์ของสาธารณะกุศลอย่างอื่นดีกว่า
เจ้าของร้านจึงได้แนะนำแบบกลางๆ ว่า
ถ้าจะสร้างพระพุทธรูปแบบคงทนถาวรนานๆ
ไม่แนะนำให้สร้างแบบที่ทำด้วยอัลลอยด์
เพราะความคงทนถาวรจะอยู่ได้ไม่นาน
ควรสร้างด้วยทองเหลืองแล้วพ่นสีหรือปิดทองทับไว้
เพราะถ้าเป็นแบบทองเหลืองขัด ถึงแม้จะดูสวยงามแต่ถ้าดูรักษาไม่ดี
องค์พระก็จะหมองได้ และยังช่วยพรางไม่ให้เกิดการล่อตาล่อใจขโมย
ได้ด้วย เพราะดูเหมือนจะทำจากพระอิฐ พระปูน
องค์พระที่เลือกในวันนั้นเป็นองค์พระปางสะดุ้งมาร พิมพ์เดิม
ที่ปัจจุบันไม่ค่อยได้ทำออกมา
คือที่พระหัตถ์จะดูค่อนข้างอ่อนช้อยและเรียวโค้งมากกว่า
และที่ยอดพระเกศจะถอดได้ ผมได้ถามเหตุผลที่ทำให้ยอดพระเกศถอดได้
ก็ได้คำตอบมาว่าเพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการขนส่งที่ป้องกันไม่ให้ยอดพระเกศหักได้
เมื่อได้แบบที่ถูกใจแล้วก็มาถึงเรื่องราคา
วันนั้นราคาของพระขนาดหน้าตัก 32 นิ้วจะอยู่ที่ 28,000 บาท
แม่ภรรยาผมได้ถามเป็นความรู้ต่อว่า
การซื้อขายพระนี้มีการต่อราคาหรือไม่ เจ้าของร้านตอบว่าก็มีต่อบ้าง
แต่ส่วนใหญ่จะไม่ต่อ แต่สุดท้ายเจ้าของร้านก็ลดราคาให้อีก 1,000
บาท เพราะ การสร้างจะต้องมีอุปกรณ์ข้างเคียงให้ครบชุดอันประกอบไปด้วย
เชิงเทียน กระถางธูป และแจกัน ซึ่งวันนั้นราคาของเชิงเทียน กระถางธูป
และแจกันที่ทำด้วยทองเหลือง ที่ดูไว้จะมีราคาอยู่ที่ 3,000 บาท
สรุปแล้วสุดท้ายก็ได้ราคาเบ็ดเสร็จทั้งหมดเป็น 30,000 บาท
ทางร้านก็มีบริการสลักชื่อผู้สร้าง อุทิศส่วนกุศลให้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีจีวรผ้าห่มให้องค์พระอีกด้วย
สุดท้ายก็ได้นัดแนะให้มารับในอีกสัปดาห์ต่อไปตามความต้องการของลูกค้า
โดยทางร้านจะจัดแจงห่อผ้าองค์
เพื่อใส่รถขนไปยังวัดบ้านเกิดที่จังหวัดนครพนมต่อไป
ก่อนการตัดสินใจเราก็ได้สอบถามถึงเรื่องการขนส่งว่าองค์พระหนักเท่าใดจะใส่หลังรถกระบะไปได้หรือไม่
เราไม่มีความคุ้นเคยกับการบรรทุก จึงทำให้เรากังวล
ข้อมูลที่ได้มาก็คือ องค์พระหนักประมาณ 90 กิโลกรัม
ซึ่งเปรียบกับผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่ 2 คนเท่านั้น
ปกติเราก็บรรทุกคน 4-5 คนจนเต็มคันรถอยู่แล้ว
ดังนั้นการบรรทุกครั้งนี้จึงไม่เป็นปัญหา
พระพุทธรูปปางสะดุ้งมาร
ภาพจาก
http://www.patimakrum.com/wp-content/uploads/2009/09/DSCN1006.jpg
ผมค่อนข้างประทับใจกับแนวทางการบริการลูกค้าและหลักการขายของเจ้าของร้านคนนี้พอสมควร
ถึงกับพูดสัพยอกกับเขาว่าขายยังกับเป็น Sale Man มืออาชีพ
อย่างไรอย่างนั้นเลย
ทั้งนี้เท่าที่ผมนำเอาหลักการขายด้วยวิธีการ FAB มาจับ
พบว่าท่านเจ้าของร้านคนนี้มีองค์ประกอบครบทั้ง 3 FAB
จึงสามารถปิดการขายได้อย่างประทับใจ คำว่า FAB นี้มาจากองค์ประกอบ 3
ตัวดังนี้
F - Feature :
สินค้านั้นมีความแตกแต่งกันอย่างไร
จะเห็นได้ว่าเจ้าของร้านได้อธิบายลักษณะความแตกต่างของสินค้าให้เข้าใจอย่างละเอียด
เพื่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจเองโดยไม่ยัดเยียด
A - Advantage :
สินค้านั้นจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
จากการอธิบายของเจ้าของร้านในเรื่องลักษณะความแตกต่างของสินค้า
จะเห็นได้ว่าเจ้าของร้านได้แนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าตามประโยชน์ใช้งานสูงสุดหรือตามความต้องการจำเป็นของลูกค้า
(Need) เช่น ต้องการความประหยัด ความคงทนถาวร หรือความสะดวกสบาย
เป็นต้น ซึ่งในที่สุดเราก็เลือกความคุ้มค่าด้วยความคงทนถาวร
B – Benefit :
ผู้ซื้อสินค้าจะได้รับประโยชน์อย่างไร
จะเห็นว่าสิ่งที่เราได้จากการตกลงซื้อขายในวันนั้น
ไม่ใช่เพียงองค์พระพุทธรูปเท่านั้น แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น การสลักชื่อ ผ้าจีวร เชิงเทียน แจกัน
กระถางธูป การบริการ Pack ของ ห่อหุ้ม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้
เปรียบเสมือนเป็นผลประโยชน์ ที่ลูกค้าจะได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทางตรงก็คือ ตัวสินค้าที่จับต้องได้ ทางอ้อมคือ อัธยาศัย
การบริการ การสร้างความประทับใจ เป็นต้น